สินเชื่อ แบบมี หลักทรัพย์ ค้ำประกัน

ปัจจัยที่ธนาคารใช้ในการคำนวณวงเงินสินเชื่อ

ธนาคารพิจารณาปัจจัยหลัก 2 ประการในการคำนวณวงเงินสินเชื่อ ได้แก่

1. มูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ธนาคารจะใช้ราคาประเมินของหลักทรัพย์ ไม่ใช่ราคาตลาด ในการคำนวณวงเงินสินเชื่อ โดยจะนำมูลค่าประเมินมาคูณกับอัตราส่วนเงินให้กู้ต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV (Loan-to-Value) ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทของหลักทรัพย์ เช่น

• บ้านพร้อมที่ดิน: LTV 70-90%

• ที่ดินเปล่า: LTV 50-70%

• อาคารพาณิชย์: LTV 60-80%

• คอนโดมิเนียม: LTV 80-90%

2. ความสามารถในการผ่อนชำระ (DSR)

ธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ โดยใช้อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ หรือ DSR (Debt Service Ratio) ซึ่งคำนวณจาก:

DSR = ค่างวดรวมหนี้ / รายได้สุทธิ

โดยทั่วไป ธนาคารจะกำหนด DSR ที่ยอมรับได้อยู่ที่ไม่เกิน 40-70% ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร

วิธีคำนวณวงเงินกู้สูงสุด

การคำนวณวงเงินกู้สูงสุดที่คุณสามารถขอได้ มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: คำนวณจากหลักทรัพย์ค้ำประกัน

วงเงินกู้จากหลักประกัน = มูลค่าประเมิน x LTV%

ตัวอย่าง:

• บ้านราคาประเมิน 3,000,000บาท

• ธนาคารให้ LTV 80%

• วงเงินกู้ = 3,000,000 × 80% = 2,400,000 บาท

หากคุณมีภาระหนี้อื่นน้อยหรือไม่มีเลย คุณอาจได้รับวงเงินเต็มจำนวนนี้

ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบความสามารถในการผ่อน (DSR)

ค่างวดสูงสุดที่ธนาคารรับได้ = รายได้สุทธิ × DSR%

ตัวอย่าง:

• รายได้สุทธิ = 50,000 บาท/เดือน

• ธนาคารกำหนด DSR ไม่เกิน 50%

• ผ่อนได้ไม่เกิน = 50,000 × 50% = 25,000 บาท/เดือน

ขั้นตอนที่ 3: คำนวณวงเงินกู้จากค่างวดสูงสุด

ใช้เครื่องคำนวณสินเชื่อ หรือคำนวณด้วยสูตรกู้แบบมีดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate Loan) เพื่อประเมินว่าค่างวดที่คุณสามารถผ่อนได้จะทำให้คุณกู้ได้เท่าไร

ตัวอย่าง:

• ค่างวด 25,000 บาทต่อเดือน

• กู้ 5 ปี (60 งวด)

• ดอกเบี้ย 7% ต่อปี

• วงเงินกู้ประมาณ 1,250,000 – 1,300,000 บาท

ดังนั้น แม้หลักทรัพย์ค้ำประกันของคุณจะรองรับได้ถึง 2.4 ล้านบาท แต่ความสามารถในการผ่อนของคุณอาจทำให้คุณได้รับวงเงินสินเชื่อเพียง 1.3 ล้านบาทเท่านั้น

สรุปการคำนวณวงเงินสินเชื่อสูงสุด

วงเงินกู้สูงสุด = MIN (วงเงินตาม LTV, วงเงินตามความสามารถผ่อน)

คุณต้องคำนวณทั้งสองด้าน แล้วใช้ "ตัวเลขที่น้อยกว่า" เป็นวงเงินกู้สูงสุดที่คุณสามารถขอได้จริง

เทคนิคเพิ่มวงเงินสินเชื่อที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

หากคุณต้องการเพิ่มวงเงินสินเชื่อ คุณสามารถทำได้ดังนี้:

1. เพิ่มมูลค่าหลักประกัน - ปรับปรุงหลักทรัพย์ให้มีมูลค่าสูงขึ้น หรือนำหลักทรัพย์เพิ่มเติมมาค้ำประกัน

2. เพิ่มรายได้หรือลดภาระหนี้ - เพิ่มรายได้หรือชำระหนี้เดิมให้หมดก่อนขอสินเชื่อใหม่

3. ขยายระยะเวลาผ่อนชำระ - การขยายระยะเวลาผ่อนชำระจะช่วยลดค่างวดต่อเดือน ทำให้คุณสามารถกู้ได้มากขึ้น

4. หาผู้กู้ร่วม - การมีผู้กู้ร่วมที่มีรายได้ประจำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระ

ข้อควรระวังในการขอสินเชื่อที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

แม้ว่าสินเชื่อที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีความเสี่ยงที่คุณควรตระหนัก:

1. ความเสี่ยงในการสูญเสียหลักทรัพย์ - หากคุณไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารมีสิทธิ์ยึดหลักทรัพย์ค้ำประกันของคุณ

2. ภาระผูกพันระยะยาว - สินเชื่อที่มีหลักประกันมักมีระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน ซึ่งอาจเป็นภาระทางการเงินในระยะยาว

3. ค่าใช้จ่ายในการประเมินและจดจำนอง - การขอสินเชื่อที่มีหลักประกันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ ค่าจดจำนอง และค่าอากรแสตมป์

การคำนวณวงเงินสินเชื่อที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นกระบวนการที่ต้องพิจารณาทั้งมูลค่าของหลักทรัพย์และความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ การเข้าใจวิธีการคำนวณจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการขอสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมก่อนยื่นขอสินเชื่อกับธนาคาร

หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินเชื่อธุรกิจที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือต้องการคำปรึกษาในการวางแผนทางการเงินสำหรับธุรกิจของคุณ เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอน

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินเชื่อธุรกิจและบริการทางการเงินอื่นๆ? เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรีและข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ

#สินเชื่อธุรกิจ #สินเชื่อมีหลักประกัน #แหล่งเงินทุนธุรกิจ #สินเชื่ออนุมัติง่าย #การเงินธุรกิจ