ในปี 2568 ผู้ประกอบการส่งออกไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่จากสภาวะเศรษฐกิจโลกและปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางการค้า ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน ความท้าทายเหล่านี้ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ที่ยังไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอในการค้ำประกันสินเชื่อ
ข่าวดีคือ สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ในปี 2568 กำลังถูกพัฒนาให้เข้าถึงง่ายขึ้น โดยหลายสถาบันการเงินหันมาให้ความสำคัญกับศักยภาพของกิจการแทนการพึ่งหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นโอกาสใหม่สำหรับ SME ส่งออกในการปรับตัวและเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
ข้อมูลจากภาคธุรกิจส่งออกในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงภาวะที่ต้องปรับตัวมากขึ้น สินค้าไทยหลายกลุ่มยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยต่อไปนี้:
ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น: ราคาวัตถุดิบนำเข้าและโลจิสติกส์ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
ความไม่แน่นอนในตลาดต่างประเทศ: ทั้งด้านอัตราดอกเบี้ยของประเทศคู่ค้า และภาษีนำเข้าที่อาจถูกปรับเพิ่ม
คู่แข่งในภูมิภาคเคลื่อนไหวเร็ว: เช่น เวียดนามที่มีนโยบายอุดหนุนผู้ส่งออกอย่างเข้มข้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคโลก: เช่น ความต้องการสินค้าที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หลายธุรกิจที่มียอดขายดี แต่กลับติดขัดในเรื่อง “เงินทุนหมุนเวียน” โดยเฉพาะช่วงที่มีคำสั่งซื้อมาก แต่ไม่มีทุนเพียงพอในการผลิตและจัดส่งสินค้า ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากการชำระเงินล่าช้าโดยลูกค้าต่างประเทศก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้ตึงเครียดยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ธุรกิจไม่มีทรัพย์สิน เช่น อาคารหรือที่ดิน เพื่อค้ำประกัน ก็ทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารในรูปแบบเดิมเป็นเรื่องยาก
ในปี 2568 สถาบันการเงินหลายแห่งรวมถึงหน่วยงานรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) หรือบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เน้นการพิจารณาศักยภาพธุรกิจมากกว่าหลักประกัน ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับ SME ส่งออกที่ขาดหลักทรัพย์
ตัวอย่างสินเชื่อที่ SME ควรพิจารณา:
สินเชื่อเพื่อการสั่งซื้อ (Purchase Order Financing): สำหรับผู้ที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศแต่ขาดทุนในการผลิต
สินเชื่ออิงรายได้ (Revenue-Based Loan): พิจารณาจากรายรับรายเดือนย้อนหลังและกระแสเงินสด
สินเชื่อผ่านแพลตฟอร์ม FinTech: ใช้ข้อมูลทางเลือก เช่น การเดินบัญชีออนไลน์ หรือยอดขายจาก e-Marketplace
แม้ธุรกิจจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากต้นทุนและความไม่แน่นอนต่างๆ แต่ก็ยังมีแนวทางปรับตัวหลายด้านที่สามารถช่วยให้ SME อยู่รอดและเติบโตได้:
เน้นการวางแผนสภาพคล่องล่วงหน้า
ผู้ประกอบการควรวางแผนกระแสเงินสดล่วงหน้า โดยประเมินวงเงินที่ต้องใช้เพื่อรองรับการสั่งซื้อใหม่ และสำรองเงินทุนในกรณีลูกค้าชำระล่าช้า
เปลี่ยนรูปแบบสินเชื่อให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
การหันไปใช้สินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกัน เช่น แฟคตอริ่งหรือวงเงินหมุนเวียนที่ใช้ข้อมูลรายได้แทนทรัพย์สิน จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสเข้าถึงเงินทุน
สร้างความน่าเชื่อถือทางการเงิน
การจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ การเสียภาษีถูกต้อง และมี Statement เดินบัญชีสม่ำเสมอจะช่วยให้ธนาคารเชื่อมั่นในการปล่อยกู้
เชื่อมโยงกับโครงการรัฐ
หลายหน่วยงานมีโครงการสนับสนุน SME ที่ไม่มีหลักทรัพย์ เช่น การค้ำประกันสินเชื่อผ่าน บสย. หรือโปรแกรมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของกระทรวงอุตสาหกรรม
ในฐานะที่ปรึกษาด้านสินเชื่อธุรกิจ แนะนำให้ผู้ประกอบการส่งออกพิจารณาการสร้าง “โปรไฟล์เครดิต” ที่ดีในรูปแบบใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่ถือหลักทรัพย์ แต่ต้องเน้นข้อมูลธุรกิจที่เป็นระบบ เช่น รายได้ย้อนหลัง, ภาษี, คำสั่งซื้อ และแผนธุรกิจ
อย่ารอจนเกิดวิกฤตจึงค่อยขอสินเชื่อ แต่ควรเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถขอวงเงินในจังหวะที่ต้องใช้จริง และไม่พลาดโอกาสรับออเดอร์ใหม่
แม้ภาพรวมการส่งออกในปี 2568 จะชะลอตัว แต่ธุรกิจ SME ยังมีช่องทางในการเสริมสภาพคล่องผ่าน “สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์” ที่พิจารณาจากศักยภาพธุรกิจเป็นหลัก การเตรียมความพร้อมด้านเอกสาร และการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น และใช้โอกาสนี้ในการปรับธุรกิจให้ยั่งยืนในระยะยาว
หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ในปี 2568 และการเลือกสินเชื่อที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ โปรดติดต่อเราหรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา
🔖 #สินเชื่อSME #ธุรกิจส่งออก #สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ #เงินทุนหมุนเวียน #เศรษฐกิจ2568 #SMEไทย