เตรียมตัวให้พร้อมก่อน “กู้ SME” เพื่อให้ใช้เงินกู้ได้คุ้มค่า และเพิ่มโอกาสอนุมัติ
ก่อนยื่นขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อธุรกิจ SME, เงินกู้ SME, หรือ เงินกู้ด่วน จากธนาคารและสถาบันการเงิน การวางแผนเงินสดให้รอบคอบคือกุญแจสำคัญที่สุด ทั้งช่วยควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงไม่ให้ภาระหนี้เกินตัว และทำให้ภาพรวมธุรกิจดูน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาผู้ให้กู้
เมื่อคุณเลือก แหล่งเงินทุน ได้เหมาะกับลักษณะรายรับ–รายจ่าย จัดทำตัวเลขที่เข้าใจง่าย และเตรียมหลักฐานประกอบคำขอสินเชื่อให้ครบตั้งแต่แรก คำขอ สินเชื่อเงินกู้ ก็มีโอกาสกลายเป็น “สินเชื่ออนุมัติง่าย” มากกว่าการยื่นแบบไม่มีการวางแผน
กลับหน้าแม่ (Hub): → สินเชื่อเพื่อธุรกิจ
ก่อนจะไปถึงขั้นวางแผนตัวเลข เจ้าของกิจการควรรู้ก่อนว่า โดยทั่วไปแล้ว เวลาขอ สินเชื่อธุรกิจ SME หรือยื่นขอ กู้ SME จากธนาคาร ผู้ให้กู้มักดูอะไรเป็นหลัก เงื่อนไขสำคัญมีดังนี้
สถานะและอายุของธุรกิจ
จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย (เช่น หจก., บจก., หรือผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร)
เปิดดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง โดยทั่วไปมักต้องการอย่างน้อย 6–12 เดือน เพื่อให้เห็นยอดขายและกระแสเงินสดจริง
รายได้และกระแสเงินสดที่พิสูจน์ได้
มีรายได้เข้าบัญชีสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยอดขายหน้าร้าน ยอดขายออนไลน์ หรือรายได้จากสัญญาบริการ
สามารถแสดงหลักฐานได้จาก Statement บัญชีธนาคาร เอกสารภาษี หรือรายงานยอดขายจากระบบ POS
ตัวเลขในเอกสารควรสอดคล้องกัน เพื่อให้ธนาคารเห็นภาพจริงของกิจการ
ประวัติการชำระหนี้และเครดิตส่วนบุคคล
ไม่มีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน
ประวัติการจ่ายหนี้เงินกู้เดิม บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ในเกณฑ์ดี
แม้คำขอจะเป็น สินเชื่อเพื่อธุรกิจ แต่ธนาคารจะดูทั้งเครดิตของธุรกิจและของเจ้าของกิจการควบคู่กัน
ภาระหนี้รวมไม่เกินกำลัง
ธนาคารจะดูยอดผ่อนรวมต่อเดือนเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อเดือน (DSR) ว่าหนักเกินไปหรือไม่
หากภาระผ่อนเดิมสูงอยู่แล้ว การขอ สินเชื่อเงินกู้ เพิ่มอาจทำให้ธนาคารลังเล
เอกสารและข้อมูลครบถ้วน น่าเชื่อถือ
งบการเงิน/ภาษี/สเตทเมนต์/เอกสารลูกค้า–ซัพพลายเออร์ ควร “เล่าเรื่องเดียวกัน”
มีแผนการใช้เงินและแผนการชำระคืนที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงคำอธิบายกว้าง ๆ ว่า “ขอไปหมุนก่อน”
เมื่อเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนตัวเลขและโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสม ก่อนจะไปยื่นขอ สินเชื่อธุรกิจ SME, ขอ เงินกู้ SME หรือเลือก แหล่งเงินทุน ใด ๆ ก็ตาม
ก่อนยื่นกู้ ควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนอย่างน้อย 2 ข้อ
ได้วงเงิน “พอดี” กับการใช้งานจริง
มีกำลังผ่อนชำระได้จริงตามกระแสเงินสดของธุรกิจ
ธนาคารไม่ได้มองแค่ยอดขาย แต่จะดูตัวเลขสำคัญ 3 ตัวร่วมกันเสมอ ได้แก่ DSCR, DSR และ LTV ซึ่งอธิบายง่าย ๆ ได้ดังนี้
DSCR (Debt Service Coverage Ratio)
เงินสดจากการดำเนินงานต่อเดือน ÷ ค่างวดหนี้ (ทั้งเงินต้น+ดอกเบี้ย) ต่อเดือนทั้งหมด
ถ้าค่า DSCR มากกว่า 1 แปลว่า “มีเงินสดมากกว่าภาระผ่อน” เช่น DSCR 1.3 หมายถึง มีเงินสด 130 บาท ต่อภาระผ่อน 100 บาท
DSR (Debt Service Ratio)
ค่างวดหนี้รวมต่อเดือน ÷ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน
ใช้ดูว่าภาระผ่อนทั้งหมดคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ เช่น DSR 40% หมายถึง ผ่อนหนี้ 40 บาท จากรายได้ 100 บาท
LTV (Loan-to-Value)
วงเงินกู้ ÷ มูลค่าหลักประกัน (เช่น ที่ดิน อาคาร รถ หรือเครื่องจักร)
ยิ่ง LTV ต่ำ แปลว่าธนาคารปล่อยกู้วงเงินน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์ ความเสี่ยงผู้ให้กู้ก็ยิ่งต่ำ
สรุปอย่างง่าย
DSCR / DSR = ดูว่าธุรกิจ “ไหวหรือไม่ไหว” ในการผ่อนหนี้
LTV = ดูว่าผู้ให้กู้ “เสี่ยงมากหรือน้อย” กับวงเงินนั้น
สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหา สินเชื่อ sme คืออะไรดี, จะขอ กู้ SME หรือเลือกผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ แบบไหน ตัวเลขเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่า “ควรกู้เท่าไร” และ “กู้แบบไหน” ให้ปลอดภัยทั้งกับธุรกิจและเครดิตของตนเอง
หัวใจของการออกแบบวงเงิน สินเชื่อธุรกิจ SME คือการรู้ให้ชัดว่า
“เงินขาดช่วงเมื่อไร ขาดประมาณเท่าไร และขาดนานกี่วัน/กี่เดือน”
วิธีที่แนะนำ คือจัดทำ ปฏิทินเงินเข้า–เงินออก รายเดือน โดยแยกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น
ยอดขาย (แยกตามช่องทาง: หน้าร้าน ออนไลน์ ลูกค้ารายใหญ่)
ต้นทุนผันแปร (วัตถุดิบ ค่าขนส่ง)
ค่าใช้จ่ายคงที่ (ค่าเช่า เงินเดือน ค่าไฟ–น้ำ อินเทอร์เน็ต)
รอบเก็บเงินของลูกค้ารายใหญ่ (30, 60 หรือ 90 วัน)
จากนั้นทำแผน 3 กรณี (Scenario) แบบง่าย ๆ
กรณีฐาน – ยอดขายใกล้เคียงปัจจุบัน
กรณีดีขึ้น – ยอดขายเพิ่ม ~20%
กรณีแย่ลง – ยอดขายลดลง ~20%
แล้วลองคำนวณว่า ในแต่ละกรณี DSCR และ DSR อยู่ที่ระดับใด ช่วงเดือนใดที่ตัวเลขเริ่มตึงมือ หากทำแบบนี้ก่อนยื่นขอ สินเชื่อเงินกู้ จะช่วยให้รู้ทันว่า ควรตั้งวงเงินเท่าไร และควรผสมสินค้าแบบไหนจึงเหมาะสม
ตัวอย่าง
หากธุรกิจเก็บเงินลูกค้า 60 วัน แปลว่าเงิน “ออกก่อน–เข้าแค่เดือนเว้นเดือน” การกำหนดวงเงินหมุนเวียน (เช่น OD หรือสินเชื่อระยะสั้น) ควรอิงจากค่าใช้จ่ายในรอบ 2 เดือนจริง ๆ ไม่ใช่กะจากยอดขายทั้งปีแบบกว้าง ๆ เพียงอย่างเดียว
วงเงิน OD เป็นเครื่องมือสำคัญของหลายธุรกิจ เพราะช่วยรักษาสภาพคล่องในช่วงรอเงินเข้า แต่หากตั้งวงเงินเกินความจำเป็น หรือใช้เต็มวงเงินตลอดเวลา ภายนอกจะดูเหมือนธุรกิจหมุนเงินไม่ทัน และกระทบต่อการพิจารณา สินเชื่อธุรกิจ SME ในอนาคต
แนวคิดง่าย ๆ ในการตั้งวงเงิน OD
วงเงิน OD ตั้งต้น ≈ ค่าใช้จ่ายคงที่ต่อเดือน × 1.0–1.5 + สำรองอีกประมาณ 10–20%
ถ้ารอบเก็บเงินของลูกค้ายาว 60–90 วัน ให้ใช้ค่าเฉลี่ย 3–6 เดือนมาช่วยคำนวณ
ถ้าธุรกิจมีความผันผวนมาก ควรเผื่อสำรองไปทาง 20%
นอกจากนี้ ควรตั้ง “กติกาภายใน” ว่า เมื่อกระแสเงินสดดี ให้พยายามปิดหรือทยอยลดวงเงินที่ใช้ลงในแต่ละไตรมาส เพื่อให้ Statement สะท้อนวินัยทางการเงินที่ดี
หากธุรกิจมีใบแจ้งหนี้จำนวนมากและรอบเก็บเงินยาว อาจใช้เครื่องมืออื่นเสริม เช่น การขายลูกหนี้ (Factoring) หรือสินเชื่อระยะสั้นจากใบแจ้งหนี้ แทนที่จะขยาย OD อย่างเดียว จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยและทำให้ตัวเลข DSCR ดูดีขึ้นเวลาไปขอ เงินกู้ SME เพิ่ม
การออกแบบ “ชุดวงเงิน” ให้เหมาะกับลักษณะงานจริง ช่วยให้ใช้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ได้ตรงจุด และลดโอกาสใช้วงเงินผิดประเภท ซึ่งเป็นจุดที่ธนาคารให้ความสำคัญ
ตัวอย่างการจับคู่
ลงทุนหรือขยายสินทรัพย์ (อาคาร เครื่องจักร สาขาใหม่)
→ เหมาะกับ Term Loan / Investment Loan ที่ผ่อนระยะยาวได้
ต้องการทุนหมุนเวียนระยะสั้น
→ ใช้วงเงิน OD หรือ Working Capital
ซื้อเครื่องจักรหรือยานพาหนะ
→ ใช้เช่าซื้อ (Hire Purchase) หรือ Leasing
มีใบแจ้งหนี้รอเก็บจากลูกค้าองค์กร
→ ใช้ Factoring / AR Financing เพื่อเร่งให้เงินเข้าระบบเร็วขึ้น
การขอ “สินเชื่อธุรกิจ sme” หลายประเภทผสมกัน อาจดูยุ่งยากเล็กน้อยในช่วงวางแผน แต่จะช่วยให้การใช้เงินกู้เป็นระบบ และทำให้ทั้ง DSCR, DSR และ LTV อยู่ในระดับที่ปลอดภัยมากกว่าใช้สินเชื่อประเภทเดียวครอบคลุมทุกอย่าง
สำหรับธุรกิจที่ต้องลงทุนโครงการใหญ่ หรือมีฤดูกาลขายชัดเจน การวางตารางเบิกใช้เงินและตารางผ่อนให้สอดคล้องกับ “จังหวะรายได้จริง” เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
แนวทางเช่น
โครงการลงทุน
แบ่งเบิกเงินกู้ตาม Milestone เช่น วางมัดจำ–ติดตั้ง–ทดสอบ–เริ่มใช้งานจริง
ลดดอกเบี้ยส่วนที่ยังไม่จำเป็นต้องเบิก ช่วยลดต้นทุนรวมของ สินเชื่อเงินกู้
ธุรกิจตามฤดูกาล
ใช้โครงสร้างผ่อนแบบ Step-up หรือ Seasonal ให้ค่างวดช่วงแรกเบากว่า แล้วค่อยเพิ่มตามช่วงที่ยอดขายเริ่มขึ้น
ใช้ OD ควบคู่กับ Term Loan
ระหว่างก่อสร้างหรือเปลี่ยนระบบ ใช้ OD ช่วยหมุนสั้น ๆ เมื่อโครงการเริ่มสร้างรายได้แล้วพยายามลดการใช้ OD และผ่อนตามตารางของ Term Loan ให้เป็นระบบ
การติดตามตัวเลข DSCR / DSR รายเดือนเทียบกับแผน จะช่วยให้รู้เร็วว่าต้องปรับวงเงิน OD หรือต้องปรับโครงสร้างหนี้ใดเพิ่มเติมก่อนที่จะสายเกินไป
เอกสารที่ “เล่าเรื่องเดียวกัน” คือสิ่งที่ทำให้ธนาคารมั่นใจว่าธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ การเตรียมเอกสารดีตั้งแต่ต้น ทำให้ทั้งการขอ สินเชื่อธุรกิจ SME, การขอเพิ่มวงเงิน หรือการขอ เงินกู้ด่วน ในอนาคตราบรื่นขึ้นมาก
เช็กลิสต์พื้นฐานก่อนยื่นขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ
งบการเงิน/เอกสารภาษี/สเตทเมนต์ มีตัวเลขรายได้–ค่าใช้จ่ายสอดคล้องกัน
แผนกระแสเงินสด 6–12 เดือน พร้อมกรณีฐานและกรณีแย่ลงเล็กน้อย
โครงสร้างวงเงินที่ต้องการ (Term, OD, Leasing, Factoring ฯลฯ) และเหตุผลประกอบ
เอกสารทรัพย์/หลักประกัน (ถ้ามี) เช่น ใบเสนอราคาเครื่องจักร, รูปทรัพย์, โฉนด
สรุป 1 หน้าอธิบายวัตถุประสงค์การกู้ ผลที่คาดว่าจะได้รับ และแผนชำระคืน
ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย
ขอวงเงิน “เผื่อเกินจริง” จนภาระผ่อนสูงเกินไป
ใช้ OD เต็มวงเงินตลอดเวลา ไม่เคยปิดหรือปรับลด
งบการเงินกับตัวเลขในบัญชีธนาคารต่างกันมาก แต่ไม่มีคำอธิบาย
ไม่มีการทดลองทำแผนในกรณียอดขายลดลง (Stress Test)
วางตารางผ่อนไม่สัมพันธ์กับฤดูกาลขายของธุรกิจ
หากเจ้าของกิจการเตรียมตัวในประเด็นเหล่านี้ได้ดี โอกาสที่คำขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ หรือการไป “กู้ SME” จากธนาคารจะผ่านการพิจารณาก็จะสูงขึ้นอย่างชัดเจน และทำให้การใช้ แหล่งเงินทุน ภายนอกกลายเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเติบโต ไม่ใช่ภาระที่ถ่วงธุรกิจในระยะยาว
กลับหน้าแม่ (Hub): → สินเชื่อเพื่อธุรกิจ