อยากสมัครสินเชื่อ SME แบบไม่ใช้หลักทรัพย์ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกวงเงินชนิดไหน? ใช้ตัวช่วย 3 ขั้นนี้เพื่อจับคู่ “โจทย์เงิน–รอบเงิน–แหล่งรายได้” แล้วเด้งไปอ่านหน้าที่ลงลึกจริงทันที
อ่านภาพรวมที่ คู่มือ “สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 2568” และ เช็กคุณสมบัติของฉัน | เช็กลิสต์เอกสา
ขั้นที่ 1 — โจทย์เงินของคุณคืออะไร?
 แยกให้ออกก่อนว่า “ต้องการหมุนรอบสั้น” หรือ “ต้องการเงินก้อนเล็กเพื่ออัปเกรด” หรือ “มีบิลค้างรับจากลูกค้า B2B ที่อยากแปลงเป็นเงินสด”
เงินหมุนสั้น: เอาไว้ “เติมสต็อก–รับงานเพิ่ม–กันสะดุดช่วงปลายรอบ” ใช้–โปะ–จบเป็นรอบ ไม่แบกดอกนาน
เงินก้อนเล็ก: ใช้ทำของชิ้นสำคัญ (เช่น เครื่องอบ, เครื่องชง, ฟิต-เอาต์) แล้วผ่อนสั้น 6–12 เดือนให้จบเร็ว
แปลงบิล B2B: ถ้าขายแบบเครดิตเทอม 30–60 วัน มีใบแจ้งหนี้อยู่แล้ว แต่เงินเข้าช้า → นำบิลไปแปลงเป็นเงินสดบางส่วน
 ผลลัพธ์ที่ต้องการ: แต่ละโจทย์จะพาไปผลิตภัณฑ์ต่างกัน อย่าพยายามใช้สินเชื่อชนิดเดียวแก้ทุกอย่าง
ขั้นที่ 2 — รอบเงินธุรกิจ 15/30/60 วัน (ขาย–เงินเข้า)
เขียนเส้นทางเงินของตัวเองแบบง่าย ๆ: วันสั่งของ → วันของถึง → วันขาย → วันเงินเข้า และวงรอบ (15/30/60) เพื่อดู “จุดที่ขาด”
ถ้าเงินเข้ารายวัน/รายสัปดาห์ → มักเหมาะกับวงเงินหมุนสั้น (ใช้–โปะตามกระแสเงินสด)
ถ้าเงินเข้าช่วงปลายเดือน/สิ้นงวด เพราะลูกค้าจ่ายช้า → พิจารณาไมโคร-แฟคตอริ่ง
ถ้ามี “ช่วงเว้นยอด” ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ → วางแผนเงินก้อนเล็กเพื่ออัปเกรด/รีสต็อกล่วงหน้า
 ทิป: ทำตาราง “ถ้าเงินเข้าลดลง 20%” ยังพอโปะได้ครบหรือไม่—ถ้าไม่ ให้ลดวงเงินหรือยืดรอบจ่าย
ขั้นที่ 3 — แหล่งรายได้หลัก: POS/e-wallet รายวัน, B2B เครดิตเทอม, หรือผสม
POS/e-wallet รายวัน: มีข้อมูลละเอียด (รายชั่วโมง/รายวัน) → ใช้เป็นหลักฐานรายได้ได้ดีมากสำหรับ thin-file
B2B เครดิตเทอม: มีใบสั่งซื้อ/ใบกำกับ/ใบแจ้งหนี้ชัดเจน → เหมาะกับการแปลงบิลเป็นเงินสด
ผสม: แยก “กระเป๋าเงิน” ให้ชัด—รายได้แบบรายวันกับรายได้แบบเครดิตเทอมไม่ควรปนในการคำนวณวงเงินเดียวกัน
 เป้าหมาย: รู้ว่าเงินเข้าจริงมาจากไหน เพื่อจับคู่วงเงินให้ถูกชนิดตั้งแต่แรก
ใช้เมื่อรายได้เข้าเกือบทุกวัน มีฤดูกาล หรือมีรอบสต็อกถี่ ต้องเติมของ/จ่ายงานก่อนเงินขายเข้าบัญชี
หลัก “พอดีธุรกิจ” (สำคัญสุด): ใช้จริงเฉลี่ย ≤ ~70% ของวงเงิน เพื่อให้เหลือเฮดรูมฉุกเฉิน และตั้งกฎ “วันเงินเข้า = วันโปะ” เพื่อลดดอกเบี้ยสะสม
วิธีตั้งวงเงินตั้งต้น:
 สูตรเร็ว: ค่าใช้จ่ายคงที่ต่อเดือน × 1–1.5 เท่า + กันชน 10–20% แล้วทดลองจำลองรอบเงิน 2 รอบ (ดี/แย่) ว่ายังโปะได้ครบ
การบริหารรอบเงิน:
โปะทันทีที่ยอดขายเข้า ไม่ดึงค้างไว้จนสิ้นงวด
ทำ “ปฏิทินสต็อก” ระบุวันของเข้า–วันต้องชำระ เพื่อกะช่วงดึงวงเงินอย่างสั้นที่สุด
พยายาม ปิดวงเงินอย่างน้อยไตรมาสละครั้ง เพื่อให้ผลงานการชำระหนี้สวยและพร้อมขอเพิ่มวงเงินภายหลัง
ตัวอย่างสถานการณ์: ร้านเบเกอรี่ยอดขายพีค ศ–อา ดึงวงเงินทุกพฤหัสฯ เติมวัตถุดิบ โปะคืนวันอังคาร–พุธ ปล่อยให้ยอดคงค้างน้อยที่สุด
สัญญาณเตือน: ถ้าใช้วงเงิน “เต็ม 100%” เกิน 2 สัปดาห์ติด ๆ → วงเงินอาจใหญ่เกินงานจริง หรือการหมุนเงินเริ่มไม่พอดี ให้ทบทวนสูตรวงเงิน/รอบซื้อของ
อ่านต่อ เสริมสภาพคล่อง (OD/Factoring) เพื่อดูโครงสร้าง–ข้อแตกต่างเชิงลึก
เหมาะกับเคส “ลงทุนเล็กแต่จำเป็น” ที่ทำให้ยอดขาย/ประสิทธิภาพดีขึ้น เช่น เครื่องครัว, เครื่องมือผลิต, ฟิต-เอาต์จุดขาย, ระบบแพ็กสินค้า
เช็กผ่อนไหว (มุมมองกระแสเงินสด):
วาง ค่างวด/เดือน ≤ ส่วนเกินกระแสเงินสด หลังหักค่าใช้จ่ายประจำ
ตั้ง DSCR ให้ปลอดภัย (รายได้สุทธิจากการดำเนินงาน ÷ ภาระหนี้ต่อเดือน ≥ 1.2–1.3)
ทางเลือกโครงสร้างงวด:
ผ่อนสั้น 6–12 เดือน: ดอกสะสมน้อย จบไว เหมาะกับอุปกรณ์อายุใช้งานยาว
มีงวดโปะพิเศษ: วางแผนโปะก้อนเมื่อถึงฤดูกาลพีค ลดภาระดอกเบี้ย
ตัวอย่างจำลอง: ลงทุนเครื่องซีล 45,000 บาท คาดเพิ่มยอดขาย/ลดของเสียรวมเดือนละ ~6,000–7,000 บาท → เลือกผ่อน 9–12 เดือนให้ “ค่างวด ≤ ผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น”
เคล็ดลับอนุมัติไว: แนบ “มินิเคสธุรกิจ” 5–7 บรรทัด อธิบายว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้เพิ่มรายได้/ลดต้นทุนอย่างไร พร้อมสเตทเมนต์เดือนก่อน–หลังติดตั้ง (ถ้ามี)
อ่านต่อ: ไปหน้า กรณีศึกษาแฟรนไชส์/อัปเกรดร้าน เพื่อดูตัวอย่างการวางเงินก้อนเล็กไม่ให้ตึงมือ
เหมาะเมื่อขายให้ลูกค้าธุรกิจและมีเอกสารครบ (PO/ใบส่งของ/ใบแจ้งหนี้) แต่รอเงินนาน ทำให้รอบหมุนสะดุด
ตรรกะคุ้ม/ไม่คุ้ม (ฉบับเร็ว):
เปรียบเทียบ “ค่าธรรมเนียมต่อรอบ” กับ “กำไรที่ช่วยรักษารอบขาย/ไม่เสียดีล”
ถ้าไม่ใช้แฟคตอริ่งแล้ว “พลาดคำสั่งซื้อ” หรือ “ต้องหยุดสายการผลิต” มูลค่าความเสียโอกาสมักสูงกว่าค่าธรรมเนียม
กรณีเหมาะสม:
ลูกค้าประจำจ่ายตรงเวลา (ประวัติดี) เอกสารครบ ตรวจสอบง่าย
งานตามสัญญา/ตามใบสั่งซ้ำ ๆ มีตารางส่งของชัดเจน
การจัดแฟ้มเอกสารให้ตรวจง่าย: โฟลเดอร์เดียวมี PO → ใบส่งของ → ใบแจ้งหนี้ → หลักฐานเซ็นรับของ → ติด “วันที่ครบกำหนดชำระ” ตัวหนา
ตัวอย่าง: บริษัทซัพพลายวัสดุส่งทุกต้นเดือน วงเงินต่อบิล 80,000–120,000 บาท เครดิตเทอม 45 วัน → ใช้ไมโคร-แฟคตอริ่งรับเงินล่วงหน้า 70–85% เพื่อซื้อของรอบถัดไปทันที
อ่านต่อ: ไปหน้า แฟคตอริ่งเบื้องต้น เพื่อดูขั้นตอน/ข้อควรระวังเชิงลึก (หน้านี้สรุปเฉพาะการตัดสินใจ)
ร้านหน้าร้าน/อีคอมเมิร์ซ (POS รายวัน):
 สถานการณ์: ยอดขายเด้ง ศ–อา สต็อกหมดปลายสัปดาห์
 แผน: วงเงินหมุน 60,000–80,000 บาท ดึงทุกพฤหัสฯ โปะอังคาร/พุธ ใช้จริงเฉลี่ยไม่เกิน ~70% และปิดวงเงินอย่างน้อยไตรมาสละครั้ง
 อ่านต่อ: ไปหน้า เสริมสภาพคล่อง (OD/Factoring) เพื่อดูจุดต่าง/ข้อควรระวัง
ซัพพลาย B2B (เครดิตเทอม 30–60 วัน):
 สถานการณ์: มีใบแจ้งหนี้ 100,000 บาท ทุกปลายเดือน แต่ต้องซื้อวัตถุดิบกลางเดือน
 แผน: แปลงบิลเป็นเงินสดล่วงหน้า 70–80% เพื่อเติมของทันรอบ ส่งของตรงเวลาไม่เสียสัญญา
 อ่านต่อ: ไปหน้า ไมโคร-แฟคตอริ่ง เพื่อดูเอกสาร/ขั้นตอนที่ต้องเตรียม
ร้านที่ต้องอัปเกรดอุปกรณ์/ฟิต-เอาต์:
 สถานการณ์: ต้องเพิ่มเครื่องมือชิ้นหลัก 35,000–60,000 บาท เพื่อรองรับยอดพีค
 แผน: เงินก้อนเล็ก ผ่อน 6–12 เดือน ตั้งค่างวดให้ต่ำกว่ากำไรที่เพิ่มขึ้นต่อเดือน (ดู DSCR ให้ปลอดภัย)
 อ่านต่อ: ไปหน้า กรณีศึกษาแฟรนไชส์/อัปเกรดร้าน เพื่อดูตัวอย่างตัวเลข