การจะขอ “สินเชื่อเพื่อการส่งออก” ให้ผ่านเร็ว ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขงบการเงินของผู้กู้เพียงอย่างเดียว แบงก์จะซูมดู “อีกฝั่งของดีล” คือผู้ซื้อ (Buyer) และประเทศปลายทางว่ามีความเสี่ยงจ่ายชำระแค่ไหน ดีลที่พิสูจน์ได้ว่าผู้ซื้อมีความน่าเชื่อถือและประเทศปลายทางไม่มีอุปสรรคต่อการโอนเงิน ย่อมลดความเสี่ยงรวมของธุรกรรมลงทันที และทำให้การอนุมัติวงเงินคล่องกว่าเดิม
ปูพื้นสั้นๆ: สินเชื่อเพื่อการส่งออกต่างจากสินเชื่อธุรกิจทั่วไปยังไง
สินเชื่อส่งออกถูกออกแบบให้เข้ากับ “วงรอบเงินสดของการค้าระหว่างประเทศ” ตั้งแต่เงินทุนก่อนผลิต–ก่อนส่ง (เช่น Packing Credit/Pre-shipment) ไปจนถึงหลังส่งเมื่อกำลังรอรับเงิน (เช่น Negotiation/LC Financing, Trust Receipt) และทางเลือกอย่าง Export Factoring/Forfaiting เพื่อลดความเสี่ยงการเก็บเงินจากต่างประเทศ ธุรกรรมเหล่านี้ผูกแน่นกับเงื่อนไขการค้าบน Incoterms® และวิธีชำระเงิน (OA/DA/DP/LC) ซึ่งมีผลต่อหลักฐานส่งมอบและการรับชำระที่ธนาคารใช้พิจารณาเครดิตด้วย.
ทำไมแบงก์เริ่มต้นที่ “ผู้ซื้อ” ก่อน
แก่นของสินเชื่อส่งออกคือ “เงินจะกลับมาได้อย่างไร” แบงก์จึงประเมิน Buyer Risk และ Country Risk ก่อนปล่อยวงเงิน โดยดูความน่าเชื่อถือของผู้ซื้อ ความต่อเนื่องของความสัมพันธ์ทางการค้า ประวัติการชำระ บวกกับความเสี่ยงระดับประเทศ เช่น ความผันผวนเศรษฐกิจ–การเมือง กฎควบคุมเงินทุน การคว่ำบาตร ฯลฯ หลายสถาบันใช้กรอบจัดอันดับความเสี่ยงประเทศและอธิบายชัดว่าเป็นความเสี่ยง “การไม่ชำระเงิน” ที่เกิดจากเงื่อนไขภายนอกกิจการผู้ซื้อ ซึ่งช่วยตั้งเพดานความเสี่ยงของดีลได้เป็นระบบ.
อ่าน Country Risk อย่างมืออาชีพ แปลผลเป็นเงื่อนไขกู้
เริ่มจากเช็กการจัดชั้นความเสี่ยงประเทศ (country risk classification) ที่ใช้อ้างอิงในตลาดส่งออก ซึ่งอัปเดตอย่างสม่ำเสมอและใช้กำหนดเงื่อนไขสินเชื่อรายประเทศ การรู้ว่าประเทศปลายทางของคุณอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงไหน ช่วยคาดเดา tenor ที่เหมาะสม หลักฐานที่ต้องเตรียม และการค้ำประกัน/ประกันเครดิตที่ธนาคารคาดหวัง.
เช็กเงื่อนไขการค้ากับเอกสารให้ “สอบผ่าน” ง่าย
Incoterms® เป็นรหัสลับที่บอกว่าใครรับผิดชอบอะไรในดีล: EXW/FOB/CIF/DDP ส่งผลต่อหลักฐานการส่งมอบ (เช่น BL/AWB ประกันภัยขนส่ง) ซึ่งธนาคารต้องใช้ประกอบพิจารณาเสมอ การเลือก Incoterms® ที่เอื้อต่อการพิสูจน์การส่งมอบและสิทธิเรียกร้อง เช่น FOB/CIF พร้อมเอกสารครบถ้วน จะทำให้การเบิกใช้วงเงินหลังส่งราบรื่นกว่า.
ปั้นโปรไฟล์ผู้ซื้อให้แบงก์มั่นใจ: ต้องมีอะไรในแฟ้ม
• ข้อมูลนิติบุคคลและผู้บริหารของผู้ซื้อ, เว็บไซต์/แคตตาล็อกสินค้า, หมายเลขผู้เสียภาษีและที่อยู่ตรงกับเอกสารการค้า
• หลักฐานความสัมพันธ์ทางการค้า: ประวัติคำสั่งซื้อ 6–12 เดือน, ปริมาณการสั่งซื้อเฉลี่ย, ระยะเวลาชำระจริงเทียบสัญญา
• พิสูจน์ความสามารถชำระเงิน: หนังสือรับรองธนาคาร (bank reference), รายงานเครดิตท้องถิ่น (ถ้ามี), ยอดวงเงินที่ใช้กับซัพพลายเออร์รายอื่น
• หลักฐานธุรกรรมดีลปัจจุบัน: Purchase Order/Contract, Proforma Invoice ที่ลงนาม, เงื่อนไขชำระเงิน (OA/DA/DP/LC) ที่สอดคล้องกันทุกฉบับ
• หลักประกันลดเสี่ยงฝั่งผู้ซื้อ: LC จากธนาคารที่เป็นที่ยอมรับ, หรือกรมธรรม์ประกันเครดิตการส่งออกที่คุ้มครองความเสี่ยงไม่ชำระเงิน
ประกันเครดิตการค้า/การส่งออก: คีย์เวิร์ดที่แบงก์อยากเห็น
สำหรับผู้เริ่มต้นหรือประเทศเสี่ยงกลาง–สูง กรมธรรม์ประกันเครดิตการส่งออกช่วยปิดรูรั่ว “ไม่ชำระเงิน” ได้ทั้งจากความเสี่ยงทางการค้า (Commercial risk) และการเมือง (Political risk) ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ EXIM Thailand สำหรับผู้ส่งออกไทยออกแบบมาให้ครอบคลุมความเสี่ยงระหว่างช่วงผลิตและช่วงเครดิตของดีล ตัวอย่างเช่นโครงการสำหรับ SME ที่มีเพดานรายได้ส่งออกต่างกัน และแบบคุ้มครองระยะกลาง–ยาวสำหรับงานโครงการ/เครื่องจักร.
บริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็น “เกราะอีกชั้น”
แม้ผู้ซื้อดี ประเทศปลายทางปลอดภัย แต่กำไรยังหายได้จาก FX หากไม่ล็อกความเสี่ยง ธนาคารไทยและหน่วยงานกำกับให้ความรู้เรื่องเครื่องมือหลัก เช่น สัญญา Forward, Options และเครื่องมือตลาดล่วงหน้าต่างๆ ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่มีรายรับ-รายจ่ายหลายสกุลเงิน การแสดงนโยบาย FX ชัดเจนในเอกสารขอสินเชื่อช่วยตีกรอบกำไรสุทธิหลังดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมให้ธนาคารเห็นภาพ.
Buyer Risk Scorecard (เวอร์ชันใช้งานได้จริง)
• ประวัติซื้อขายกับบริษัทคุณ: 0–2 ดีล (เสี่ยงสูง) / 3–5 ดีล (กลาง) / มากกว่า 5 ดีล (ต่ำ)
• วิธีชำระเงิน: OA ไม่มีประกัน (เสี่ยงสูง) → พิจารณาเพิ่ม Credit Insurance หรือปรับเป็น DA/DP; ถ้ามี LC จากธนาคารเกรดดี คะแนนลดเสี่ยงมาก
• สัดส่วนออเดอร์ต่อฐานทุน/ยอดซื้อปกติของผู้ซื้อ: >30% ต้องมีหลักประกันเพิ่ม (เช่น LC/ประกันเครดิต)
• ประเทศปลายทาง: ถ้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง/มีมาตรการควบคุมเงินทุน ควรเลือกรับชำระเป็นสกุลเงินเสถียร และใช้ธนาคารคู่ค้า/เงื่อนไขที่ลดข้อจำกัด
• เอกสารสนับสนุน: PO/สัญญา/Incoterms®/ประกันขนส่ง/COO ครบและ “สะกดชื่อ–ที่อยู่” ตรงกันทุกฉบับ
Case Mini: จาก OA เสี่ยงสูง → ผ่านวงเงินภายในเดือนเดียว
ผู้ส่งออกไทยรายหนึ่งได้รับออเดอร์แรกจากผู้นำเข้าในประเทศที่มีความเสี่ยงระดับกลาง ดีลเดิมเสนอเป็น Open Account 60 วัน ธนาคารลังเลเพราะไม่มีประวัติซื้อขายก่อนหน้า ทีมการเงินจึงปรับโครงสร้างเป็น DA 60 วัน + ประกันเครดิตการส่งออกคุ้มครอง 90% และให้ผู้ซื้อขอ Bank Reference Letter จากธนาคารท้องถิ่น แนบ ตารางกระแสเงินสด + แผนทำ Forward สำหรับค่าสกุลเงินต่างประเทศ ผลคือแบงก์อนุมัติวงเงิน Packing Credit และลดสเปรดค่าธรรมเนียมลงเพราะความเสี่ยงรวมต่ำลง
Red Flags ที่ทำให้อนุมัติยาก
• ผู้ซื้อเพิ่งก่อตั้ง/เปลี่ยนผู้ถือหุ้นถี่
• ขอ OA ระยะยาวโดยไม่มีหลักประกัน/ประกันเครดิต
• เอกสารสะกดชื่อ–ที่อยู่–เลขภาษีไม่ตรงกันระหว่าง PO, Invoice, BL
• ประเทศปลายทางมีประวัติควบคุมเงินทุน/การโอนเงินระหว่างประเทศติดขัด
วิธีเขียน Pitch ให้ชนะใจเครดิต
• เริ่มด้วย “ภาพรวมดีล” สั้นๆ: สินค้า–มูลค่า–Incoterms®–Tenor–ประเทศปลายทาง
• ใส่ “Buyer Profile” แบบมีหลักฐาน: ประวัติซื้อขาย, วิธีชำระ, เอกสารประกอบ, Bank Reference
• โชว์ “Risk Mitigation”: ประกันเครดิต, LC/Confirming Bank, นโยบาย FX (Forward/Option)
• ปิดด้วย “Cash Flow Plan”: วงรอบเงินสด–กำหนดส่ง–กำหนดรับเงิน และ Sensitivity ต่อ FX/ค่าระวาง
เช็กลิสต์ก่อนยื่น (15 นาทีตรวจให้ครบ)
เอกสารผู้ซื้อ–สัญญา–PO–Invoice–Packing List–BL/AWB–ประกันภัย–COO ตรงกันทุกตัวอักษร
ระบุ Incoterms® และวิธีชำระชัดเจน
มีหลักฐานความน่าเชื่อถือผู้ซื้อ (bank reference/เครดิตรีพอร์ต)
มีประกันเครดิต/LC (ถ้าประเทศหรือผู้ซื้อยังใหม่)
แนบแผนบริหาร FX (Forward/Option) และผลกระทบต่อมาร์จิน
ใส่ตาราง Cash Conversion Cycle ให้เห็นชัดว่าเงินกลับเมื่อใด
สรุป
ในเกมของสินเชื่อส่งออก “ใครจ่ายเงินเรา” สำคัญพอๆ กับ “เรามีความสามารถชำระหนี้แค่ไหน” การทำการบ้านเรื่อง Buyer Risk และ Country Risk อย่างเป็นระบบ เลือก Incoterms®/วิธีชำระที่ตรวจสอบได้ เสริมเกราะด้วยประกันเครดิตและแผน FX แปลงดีลธรรมดาให้กลายเป็นดีลที่ธนาคาร “อยากปล่อย” มากขึ้นทันที