รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ SME › สินเชื่อธุรกิจรีไฟแนนซ์
รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ SME › สินเชื่อธุรกิจรีไฟแนนซ์
สินเชื่อรีไฟแนนซ์
จัดพอร์ตหนี้ให้พอดีกระแสเงินสด พร้อมทางเลือก “เปลี่ยนอินวอยเป็นเงินสด” ด้วยสินเชื่อแฟคตอริ่ง
หากเจ้าของกิจการกำลังมองหาแนวทางในการ
“จัดพอร์ตหนี้ให้เหมาะสมกับกระแสเงินสดของธุรกิจ” หรือ
“ลดต้นทุนดอกเบี้ย” จากหนี้เดิมที่มีอยู่
บทความนี้สรุปแนวทาง สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ใช้กันจริงในภาคธุรกิจ ได้แก่ การปรับสัญญาแบบ Term / HP–Leasing / ปรับโครงสร้าง OD / ใช้ สินเชื่อfactoring หรือ สินเชื่อแฟคตอริ่ง เพื่อ เปลี่ยนอินวอยเป็นเงินสด รวมถึงการรวมหนี้หลายก้อน พร้อมตัวอย่างแนวคิดการคำนวณก่อน–หลังในภาพรวม
สามารถอ่านภาพรวมหลักการรีไฟแนนซ์เพิ่มเติม และตรวจสอบว่า “ถึงเวลาควรรีไฟแนนซ์หรือยัง” ได้ที่หน้าแม่ รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ SME
เหมาะสำหรับ:
กรณีที่อัตราดอกเบี้ยเดิม “สูงกว่า” ข้อเสนอใหม่อย่างน้อยประมาณ 1% ขึ้นไป และสัญญายังเหลือระยะเวลาอีกพอสมควร จนทำให้การรีไฟแนนซ์คุ้มค่ากว่าต้นทุนค่าปรับและค่าธรรมเนียม
เกณฑ์ตัดสินใจเบื้องต้น
ส่วนต่างดอกเบี้ย (เดิม – ใหม่) ≥ 1.0%
“ดอกเบี้ยรวมที่ยังเหลืออยู่ตามสัญญาเดิม” – “ดอกเบี้ยรวมตามโครงสร้างใหม่” > ค่าปรับปิดก่อน + ค่าธรรมเนียมทั้งหมด
ต้องการคงค่างวดและอายุสัญญาใกล้เคียงเดิม เน้น “ลดดอกเบี้ยรวมทั้งก้อน” มากกว่าการลดค่างวดรายเดือน
สูตรพิจารณาคุ้ม / ไม่คุ้ม (ฉบับย่อ)
แนวโน้ม “คุ้ม” มักเกิดเมื่อยอดหนี้คงเหลือยังสูง และเหลือจำนวนงวดอีกมาก → ส่วนต่างดอกเบี้ยต่อเดือนสามารถช่วยชดเชยค่าปรับได้เร็ว
“จุดคุ้มทุนโดยประมาณ (เป็นจำนวนเดือน)”
จุดคุ้มทุน ≈ (ค่าปรับปิดก่อน + ค่าธรรมเนียมรีไฟแนนซ์) ÷ (ส่วนต่างดอกเบี้ยต่อเดือนระหว่างสัญญาเก่าและใหม่)
เหมาะสำหรับ:
กรณีที่ค่างวดปัจจุบันเริ่ม “ตึงกระแสเงินสด” รายได้ผันผวน หรือต้องการลดค่างวดต่อเดือนให้สอดคล้องกับรอบเงินหมุนของธุรกิจ
เป้าหมายด้านความปลอดภัยทางการเงิน
ตั้งเป้าให้ DSCR (Debt Service Coverage Ratio) หลังรีไฟแนนซ์ ≥ 1.2–1.3
ทำ Stress Test โดยสมมติยอดขายลดลงประมาณ 20% แล้วยังคงสามารถผ่อนชำระได้อย่างปลอดภัย
กรอบการตั้งค่างวดใหม่
เลือกอายุสัญญาใหม่ให้ค่างวดต่อเดือน ≤ (กระแสเงินสดสุทธิเฉลี่ย × อัตราส่วนความปลอดภัยที่เหมาะสม)
ควรวาง “แผนปิดหนี้พิเศษ” หรือโปะเพิ่มในช่วงที่ยอดขายสูง เพื่อควบคุมดอกเบี้ยสะสมรวมไม่ให้สูงเกินไป
การรีไฟแนนซ์ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนเฉพาะอัตราดอกเบี้ยหรืออายุสัญญาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ “เปลี่ยนประเภทสินเชื่อ” ให้เหมาะกับโครงสร้างรายได้และทรัพย์สินของกิจการ เช่น การใช้ สินเชื่อแฟคตอริ่ง เพื่อเปลี่ยนยอดลูกหนี้ B2B ให้เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น
3.1 เปลี่ยนระหว่าง Term ↔ HP / Leasing
เหมาะเมื่อ:
กิจการมีเครื่องจักร ยานพาหนะ หรืออุปกรณ์ที่ใช้งานจริง และยังมีมูลค่าคงเหลือตามอายุการใช้งาน สามารถใช้เป็นหลักประกันเพื่อลดค่างวดต่อหน่วยได้
เกณฑ์พิจารณา
สินทรัพย์ยังมีอายุการใช้งานเหลือ ≥ อายุสัญญาใหม่ที่กำลังพิจารณา
อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) อยู่ในเกณฑ์ที่สถาบันการเงินยอมรับได้ เช่น 60–80% (แล้วแต่สถาบัน)
3.2 เปลี่ยนระหว่าง OD ↔ สินเชื่อfactoring / สินเชื่อแฟคตอริ่ง
เหมาะสำหรับธุรกิจ B2B ที่มีรายได้เป็น “บิล–อินวอยซ์เครดิตเทอม 30–60 วัน”
หากกิจการมีใบแจ้งหนี้ (Invoice / AR) จำนวนมาก และลูกค้าชำระล่าช้า ทำให้ขาดสภาพคล่องระหว่างรอเงินเข้า การใช้ สินเชื่อfactoring หรือ สินเชื่อแฟคตอริ่ง เพื่อ เปลี่ยนอินวอยเป็นเงินสด ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการใช้งานของสินเชื่อแฟคตอริ่ง (Factoring)
ส่งมอบงานหรือสินค้าให้ลูกค้า
ออกใบแจ้งหนี้ / อินวอยซ์ (Invoice) ให้ลูกหนี้การค้า
นำอินวอยซ์ดังกล่าวไปใช้บริการ สินเชื่อfactoring เพื่อรับเงินล่วงหน้าในสัดส่วนหนึ่ง เช่น 70–85% ของมูลค่าอินวอยซ์
เมื่อถึงกำหนดชำระ ลูกค้าชำระเงินเข้าตามเงื่อนไข แล้วจึงมีการเคลียร์ยอดส่วนที่เหลือ และหักค่าธรรมเนียม/ดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้อง
การใช้ สินเชื่อแฟคตอริ่ง หรือบริการที่ช่วย “เปลี่ยนอินวอยเป็นเงินสด” ทำให้กิจการไม่จำเป็นต้องใช้ OD ค้างวงเงินเต็ม 100% ตลอดเวลา และสามารถหมุนเงินให้เป็นรอบ ๆ ตามการรับ–จ่ายจริง
ข้อควรใส่ใจ
ควรกำหนดวินัย “หมุน–โปะเป็นรอบ” แทนการปล่อยให้วงเงินค้างสะสม
เปรียบเทียบต้นทุนรวมของ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่เปลี่ยนจาก OD มาใช้ Factoring กับดอกเบี้ย OD เดิม เพื่อให้เห็นภาพรวมต้นทุนที่แท้จริง
เหมาะเมื่อ:
กิจการมีหนี้หลายประเภท เช่น OD + Term + HP/Leasing + บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่ออื่น ๆ ทำให้บริหารจัดการยาก มีวันครบกำหนดชำระไม่ตรงกันหลายวัน และ DSCR ใกล้ระดับ 1.0
เป้าหมายในการรวมหนี้
รวมเป็น “ก้อนหลักก้อนเดียว” หรือไม่กี่ก้อนที่บริหารง่าย
ปรับปฏิทินการชำระให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดของธุรกิจ
ตั้งเป้าให้ DSCR หลังจัดโครงสร้างใหม่อยู่ในระดับ ≥ 1.2–1.3 เพื่อความปลอดภัย
ขั้นตอนประเมิน (ฉบับย่อ)
จัดทำ “แผนผังหนี้ก่อน–หลัง” ระบุยอดคงเหลือ อัตราดอกเบี้ย และวันตัดรอบของแต่ละก้อน
จำลองค่างวดใหม่ (ทั้งในแง่อายุสัญญาและอัตราดอกเบี้ย) พร้อมคิดต้นทุนรวมของการรีไฟแนนซ์ (ค่าปรับปิดก่อน + ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ)
ทำ Stress Test โดยสมมติให้รายได้ลดลง 20% แล้วประเมินว่าธุรกิจยังยืนหยัดและชำระหนี้ได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
(ควรดู “ดอกเบี้ยรวมทั้งก้อน” ไม่ใช่เฉพาะค่างวด)
เคส A — รีไฟฯ เพื่อลดดอกเบี้ย:
ยอดคงเหลือ 2,000,000 บาท ดอกเบี้ย 8.50% เหลือ 36 งวด
ข้อเสนอใหม่ ดอกเบี้ย 6.75% ระยะเวลา 36 งวดเท่าเดิม
ผลลัพธ์: ดอกเบี้ยรวมที่เหลืออยู่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ค่างวดลดลงเล็กน้อย DSCR ดีขึ้น
เคส B — รีไฟฯ เพื่อลดยอดผ่อนโดยยืดงวด:
ยอดหนี้ 1,200,000 บาท ดอกเบี้ย 7.90% เหลือ 24 งวด
ปรับใหม่เป็น ดอกเบี้ย 7.50% ระยะเวลา 36 งวด
ผลลัพธ์: ค่างวดต่อเดือนลดลงประมาณ 25–30% กระแสเงินสดคงเหลือเพิ่มขึ้น แต่ดอกเบี้ยสะสมรวมตลอดสัญญาสูงขึ้น ผู้กู้จึงต้องประเมินว่ารับต้นทุนส่วนนี้ได้หรือไม่ และควรมีแผนโปะเมื่อรายได้พีค
เคส C — เปลี่ยนประเภทผลิตภัณฑ์ + ใช้สินเชื่อแฟคตอริ่ง:
OD 600,000 บาท ค้างระดับสูงต่อเนื่อง + Term 900,000 บาท
ปรับโครงสร้างเป็น: นำ AR ส่วนที่เป็นบิล B2B ไปใช้บริการ สินเชื่อfactoring / สินเชื่อแฟคตอริ่ง เพื่อ เปลี่ยนอินวอยเป็นเงินสด และย้ายหนี้ที่เกี่ยวกับเครื่องจักร/ยานพาหนะไปเป็น HP/Leasing
ผลลัพธ์: การหมุนเวียนเงินคล่องตัวมากขึ้น ไม่ค้าง OD เต็มวงเงิน และงวด HP/Leasing สอดคล้องกับการใช้งานของทรัพย์สิน
สูตรเช็กอย่างรวดเร็ว:
ทุกครั้งที่พิจารณา สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ควรเปรียบเทียบอย่างน้อย 2 ตัวเลข
ดอกเบี้ยรวมทั้งก้อน ก่อน–หลังรีไฟแนนซ์
DSCR ก่อน–หลังโครงสร้างใหม่
สัญญาเงินกู้เดิม และตารางค่างวดที่เหลืออยู่
สเตทเมนต์การชำระหนี้ย้อนหลัง 12 เดือน
หลักฐานรายได้ เช่น งบการเงิน สเตทเมนต์ รายงานขายจาก POS / e-wallet หรือ PO / Invoice สำหรับธุรกิจ B2B
สินทรัพย์ / หลักประกัน (ถ้ามี) เช่น รายการทรัพย์สิน ใบจดทะเบียน/สเปกเครื่องจักร รูปถ่ายการใช้งานจริง
สรุป “Credit Story” หน้าเดียว ระบุ
วัตถุประสงค์การรีไฟแนนซ์ (ลดดอกเบี้ย / ยืดงวด / จัดพอร์ตหนี้ / ใช้สินเชื่อfactoring เพื่อเปลี่ยนอินวอยเป็นเงินสด)
ตัวเลขเปรียบเทียบก่อน–หลังแบบย่อ
สัปดาห์ที่ 1:
รวบรวมข้อมูลหนี้เดิมทั้งหมด
จำลองตัวเลขก่อน–หลังในแต่ละแนวทาง (ลดดอก ยืดงวด เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ ใช้สินเชื่อแฟคตอริ่ง หรือรวมหนี้)
สัปดาห์ที่ 2:
ขอข้อเสนอเบื้องต้นจากแหล่งเงินทุน 2–3 แห่ง
เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าปรับปิดก่อน อายุสัญญา และเงื่อนไขเพิ่มเติม
สัปดาห์ที่ 3:
เลือกโครงสร้างที่เหมาะสมกับรูปแบบรายได้
รายได้แบบ B2B มีบิลเครดิต → พิจารณาใช้ สินเชื่อfactoring / สินเชื่อแฟคตอริ่ง
มีเครื่องจักรหรือยานพาหนะ → พิจารณา HP/Leasing
ปรับแบบร่างตารางเงินงวดให้สอดคล้องกับรอบเงินสดเข้าออกจริงของกิจการ
สัปดาห์ที่ 4:
ลงนามสัญญารีไฟแนนซ์
ตั้งวินัยบริหารหนี้ใหม่ เช่น
กรณีวงเงินหมุนเวียน: “วันเงินเข้า = วันโปะหนี้ตามแผน”
ทบทวนโครงสร้างหนี้และเงื่อนไขอย่างน้อยทุก 6–12 เดือน
ถาม: การยืดงวดผ่อนชำระดีหรือไม่ หากทำให้ดอกเบี้ยสะสมสูงขึ้น?
ตอบ: ถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสม “หาก” การยืดงวดช่วยให้ DSCR อยู่ในระดับปลอดภัย และเจ้าของกิจการมีวินัย รวมถึงมีแผนโปะพิเศษเมื่อกระแสเงินสดดี เพื่อควบคุมดอกเบี้ยรวมไม่ให้สูงเกินไป
ถาม: การรวม OD เข้ากับหนี้ก้อนใหม่คุ้มค่าหรือไม่?
ตอบ: มักคุ้มค่าเมื่อกิจการไม่สามารถรักษาวินัย “หมุน–โปะ OD” ได้ และยอด OD ค้างสูงจนกระทบสภาพคล่อง แต่หลังจากรีไฟแนนซ์แล้ว ควรป้องกันการ “ดึง OD กลับมาเต็มวงเงิน” ซ้ำอีกครั้ง
ถาม: ควรเปลี่ยนไปใช้ HP/Leasing เมื่อใด?
ตอบ: เหมาะเมื่อกิจการมีสินทรัพย์ที่ใช้งานจริง และมูลค่ากับอายุการใช้งานรองรับอายุสัญญาใหม่ อีกทั้งช่วยลดค่างวดต่อหน่วย และทำให้โครงสร้างหนี้สอดคล้องกับสินทรัพย์ที่นำมาใช้สร้างรายได้
ถาม: การใช้สินเชื่อfactoring หรือสินเชื่อแฟคตอริ่งเหมาะกับธุรกิจแบบใด?
ตอบ: เหมาะกับธุรกิจที่มีรายได้แบบ B2B ออกบิลเครดิตเทอม 30–60 วัน และต้องการ เปลี่ยนอินวอยเป็นเงินสด เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างรอการชำระจากลูกค้า โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดโครงสร้าง สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ด้านเงินทุนหมุนเวียนได้เช่นกัน
ไปหน้าแม่: รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ SME (ภาพรวม + ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น)
หน้าลึกตามโจทย์: รีไฟฯ เพื่อลดดอกเบี้ย • รีไฟฯ รวมหนี้หลายก้อน
หน้าตามอุตสาหกรรม: การผลิต/โรงงาน (playbook รอบเงิน PO→AR)
บทความนี้มุ่งหวังให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ รวมถึงทางเลือกอย่าง สินเชื่อfactoring / สินเชื่อแฟคตอริ่ง เป็นเครื่องมือจัดพอร์ตหนี้ให้สอดคล้องกับกระแสเงินสด ลดต้นทุนดอกเบี้ย และบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืน.