กลับหน้าแม่ (Hub): → คู่มือสินเชื่อเพื่อธุรกิจ
ในยุคที่การแข่งขันสูง เจ้าของกิจการจำนวนมากเริ่มค้นหา สินเชื่อเพื่อธุรกิจ หรือคำว่า สินเชื่อธุรกิจsme, เงินกู้sme, เงินกู้ด่วน เพื่อใช้เป็น “ตัวช่วยด้านเงินทุน” ให้ธุรกิจขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและ SME ที่รายได้อาจยังไม่ใหญ่ แต่ต้องหมุนเงินทุกเดือนอย่างมีวินัย
หลายคนสงสัยว่า สินเชื่อsmeคืออะไร แตกต่างจากสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างไร และควรเริ่มต้นกู้sme แบบไหนถึงจะไม่เสี่ยงเกินไป จุดสำคัญคือการเข้าใจโครงสร้างสินเชื่อให้เพียงพอ ว่าประเภทไหนเหมาะกับลักษณะงานของเรา และกระแสเงินสดของธุรกิจรับภาระได้แค่ไหน
เมื่อเข้าใจภาพรวมเหล่านี้ การตัดสินใจเลือกรูปแบบ สินเชื่อเงินกู้ หรือการยื่นขอสินเชื่อธุรกิจsme จะเป็นเรื่องที่วางแผนได้ ไม่ใช่การลองผิดลองถูกที่อาจทำให้ภาระหนี้เกินตัวในภายหลัง
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก คือวงเงินกู้ที่ออกแบบมาสำหรับกิจการที่มียอดขายไม่สูงมาก แต่ต้องการเงินทุนไป “ลงทุน” หรือ “เสริมสภาพคล่อง” ให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นร้านอาหาร ร้านค้าออนไลน์ โรงงานเล็ก ๆ หรือผู้ประกอบการรายย่อยที่อยากนำเงินไปซื้ออุปกรณ์ เพิ่มสต็อก หรือรองรับออเดอร์ที่กำลังโตขึ้น
หัวใจสำคัญคือ “เลือกประเภทสินเชื่อให้ตรงงาน” ไม่ใช่มองเพียงแค่ว่า สินเชื่ออนุมัติง่ายไม่เช็คภาระหนี้ หรือดอกเบี้ยถูกเป็นหลัก เพราะในความเป็นจริง สถาบันการเงินทุกแห่งยังต้องดูความสามารถในการชำระหนี้ ภาระหนี้เดิม และการเดินบัญชีอยู่เสมอ
สิ่งที่ควรคิดให้ชัดตั้งแต่ต้น
วัตถุประสงค์ของการขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ
ต้องการลงทุนในทรัพย์สินถาวร เช่น เครื่องจักร ยานพาหนะ ระบบไอที
หรือต้องการเสริมเงินหมุนเวียนระยะสั้น ระหว่างรอเก็บเงินจากลูกค้า
ตัวชี้วัดสำคัญที่ผู้ให้กู้มอง
DSCR (Debt Service Coverage Ratio)
= เงินสดจากการดำเนินงานต่อเดือน ÷ ค่างวดหนี้รวมต่อเดือน
โดยทั่วไปเป้าหมายที่พบได้บ่อย คือ มากกว่าหรือเท่ากับ 1.2–1.3
DSR (Debt Service Ratio)
= ค่างวดหนี้ทั้งหมดต่อเดือน ÷ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน
ควรอยู่ในระดับไม่เกินประมาณ 50–60%
LTV (Loan-to-Value)
= วงเงินกู้ ÷ มูลค่าหลักประกัน ยิ่ง LTV ต่ำ ผู้ให้กู้ยิ่งสบายใจ
โครงสร้างวงเงินที่ดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
มักไม่ใช่การขอสินเชื่อก้อนเดียวจบทั้งหมด แต่เป็นการผสม “ชุดวงเงิน” ให้เหมาะสม เช่น
Term Loan สำหรับลงทุน
วงเงินหมุนเวียน (OD / Working Capital) สำหรับช่องว่างกระแสเงินสด
Factoring / AR Financing สำหรับเร่งเงินจากใบแจ้งหนี้
Leasing / เช่าซื้อ สำหรับทรัพย์สินที่ต้องใช้ทำงานจริง
ลิงก์กลับ Hub : คู่มือสินเชื่อเพื่อธุรกิจ
หลายธุรกิจเสียต้นทุนโดยไม่รู้ตัว เพราะใช้ผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเงินกู้ “ผิดประเภทงาน” เช่น ใช้ OD ยาว ๆ ไปลงทุนเครื่องจักร หรือใช้สินเชื่อระยะยาวสำหรับแก้ปัญหาเงินขาดมือระยะสั้น
เหมาะสำหรับการลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง เช่น
เครื่องจักร
อาคาร โรงงาน
ระบบไอที หรือระบบหลังบ้านของธุรกิจ
สามารถออกแบบโครงสร้างชำระหนี้ได้ เช่น
มีช่วงผ่อนเบา/ปลอดชำระเงินต้น (Grace Period) ระหว่างติดตั้งระบบ
ทำตารางผ่อนแบบ Step-up หรือ Seasonal ให้ค่างวดเพิ่มตามช่วงที่รายได้เริ่มเข้าจริง
→ อ่านต่อ: ลงทุนในสินทรัพย์ (Term/Investment)
เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรอบการขายและรอบเก็บเงินชัดเจน เช่น
รับออเดอร์ (PO) → ผลิตสินค้า → ส่งมอบ → วางบิล → รอเงินเข้า
ใช้จ่ายเฉพาะช่วง “เงินออกก่อน เงินเข้าทีหลัง” เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าขนส่ง
จุดเด่น:
จ่ายดอกเบี้ยเฉพาะยอดที่ใช้จริง
ใช้แล้วคืนเป็นรอบ ทำให้มองเห็นวินัยการใช้วงเงินของธุรกิจ
ควรตั้งวงเงินให้ “พอดีงาน” และตั้งเป้า ปิด/ลด OD เป็นรอบ ๆ ไม่ใช่ใช้เต็มวงเงินตลอดเวลา
→ อ่านต่อ : เสริมสภาพคล่อง (OD/Working Capital): สูตร OD/Factoring ที่ใช้ได้จริง
เหมาะกับการซื้อเครื่องจักร ยานพาหนะ หรืออุปกรณ์ที่ธุรกิจต้องใช้งานจริง
ใช้ของได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน
ผ่อนเป็นงวด ทำให้งบกระแสเงินสดชัดเจน
ควรพิจารณาเรื่องราคาซื้อคืน (Residual / Balloon) และผลด้านภาษีควบคู่กัน
หากวางแผนดอกเบี้ยและค่างวดดี จะช่วยให้ DSR ไม่ตึงเกินไปในช่วงปีแรก ๆ
→ อ่านต่อ: เช่าซื้อ / Leasing: รักษากระแสเงินสดสำหรับอุปกรณ์/ยานพาหนะ
เหมาะกับกิจการที่ขายให้ลูกค้าองค์กร หรือหน่วยงานที่มีเครดิตเทอมยาว เช่น 30–90 วัน
นำใบแจ้งหนี้ (Invoice) หรือเอกสารรับรองหนี้ไปขอวงเงินล่วงหน้ากับสถาบันการเงิน
มักได้รับเงินก่อน 70–90% ของมูลค่าใบแจ้งหนี้
ช่วยลดการพึ่งพา OD และทำให้กระแสเงินสดนิ่งขึ้น
ข้อแนะนำสำคัญ:
อย่าพยายามใช้สินเชื่อประเภทเดียวทำทุกอย่างในธุรกิจ เพราะจะทำให้ต้นทุนรวมสูงโดยไม่จำเป็น
การออกแบบ “ชุดวงเงิน” ที่พอดีกับรูปแบบรายได้ จะคุมทั้งดอกเบี้ย DSCR และ DSR ได้ง่ายกว่า
ก่อน กู้sme หรือยื่นขอ สินเชื่อธุรกิจsme ทุกรูปแบบ ควรลองคำนวณความสามารถผ่อนด้วยตัวเองคร่าว ๆ ล่วงหน้าก่อน เพื่อดูว่าโครงสร้างหนี้ที่วางแผนไว้นั้น “ไหวจริงหรือไม่”
สูตรง่าย ๆ
DSCR ≈ เงินสดจากการดำเนินงานต่อเดือน ÷ ค่างวดหนี้รวมต่อเดือน
ถ้าค่ามากกว่า 1.2–1.3 ขึ้นไป ถือว่ามี “กันชน” เผื่อเหตุไม่คาดคิดระดับหนึ่ง
DSR = ค่างวดหนี้รวมต่อเดือน ÷ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน
ควรไม่เกินประมาณ 50–60% เพื่อไม่ให้ภาระหนี้กินสภาพคล่องทั้งหมด
ตัวอย่างคำนวณทีละขั้น
รายได้เฉลี่ยต่อเดือน = 800,000 บาท
ต้นทุนผันแปร (วัตถุดิบ / ค่าแรงแปรผัน ฯลฯ) = 60% ของรายได้ = 480,000 บาท
ค่าใช้จ่ายคงที่ (เช่า คนประจำ ค่าน้ำไฟ ฯลฯ) = 220,000 บาท
เงินสดจากการดำเนินงาน ≈ 800,000 − 480,000 − 220,000 = 100,000 บาท/เดือน
สมมติวางแผนขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ เป็นชุดวงเงินดังนี้
Term Loan ลงทุน 2,000,000 บาท → ค่างวดประมาณ 55,000 บาท/เดือน
วงเงินหมุนเวียน OD ใช้งานเฉลี่ย → ดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 8,000 บาท/เดือน
ค่างวดรวมต่อเดือน ≈ 63,000 บาท
DSCR ≈ 100,000 ÷ 63,000 ≈ 1.59 (ถือว่าอยู่ในโซนค่อนข้างปลอดภัย)
แต่ถ้ารายได้ลดลง 20% เหลือ 640,000 บาท
ต้นทุนผันแปร ≈ 384,000 บาท
ค่าใช้จ่ายคงที่ยังประมาณ 220,000 บาทเหมือนเดิม
เงินสดจากการดำเนินงาน ≈ 640,000 − 384,000 − 220,000 = 36,000 บาท
เมื่อเทียบกับค่างวด 63,000 บาท
DSCR ≈ 36,000 ÷ 63,000 ≈ 0.57 (ตึงเกินไป ไม่เผื่อความเสี่ยง)
แนวคิดที่ควรนำไปใช้
ใช้การคำนวณ DSCR / DSR เป็น “ตัวช่วยออกแบบโครงสร้างหนี้”
ไม่ใช่รอให้ธนาคารคำนวณแล้วค่อยมาคิดทีหลังว่าไหวหรือไม่ไหว
ถ้าผลในกรณีรายได้ลดลง (เช่น −20%) ต่ำกว่า 1.0 มาก ๆ ควรพิจารณา
ยืดระยะเวลาผ่อน (Tenor)
ลดวงเงินที่ขอ
หรือแบ่งการลงทุนเป็นเฟสแทนการทำทีเดียว
นอกจากความสามารถผ่อน ธนาคารยังใช้สัดส่วน LTV (วงเงินกู้ ÷ มูลค่าหลักประกัน) มาประเมินความเสี่ยงของ สินเชื่อเงินกู้ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ใช้ทรัพย์สินค้ำประกัน
วงเงิน OD เริ่มต้น ≈ ค่าใช้จ่ายคงที่ต่อเดือน × 1.0–1.5
จากนั้นบวก “เงินสำรอง” ประมาณ 10–20%
ถ้ารอบเก็บเงินลูกค้านาน 60–90 วัน ควรใช้ค่าเฉลี่ย 3–6 เดือนมาช่วยประเมิน
และที่สำคัญ ควรกำหนด “เป้าปิด/ลด OD” รายไตรมาสเพื่อแสดงวินัยการใช้วงเงิน ซึ่งช่วยให้ภาพรวมเครดิตดีขึ้นในสายตาผู้ให้กู้
หากมูลค่าเครื่องจักร 2.5 ล้านบาท
และธนาคารให้ LTV 80%
วงเงินกู้ตามทรัพย์ = ประมาณ 2.0 ล้านบาท
แม้ LTV จะรองรับวงเงินระดับนี้ แต่ต้องไม่ลืมมองด้าน DSCR / DSR ด้วยว่า ค่างวดที่ตามมานั้นเกินความสามารถของกระแสเงินสดหรือไม่ ถ้าตึงเกินไป อาจต้อง
ยืดระยะเวลาผ่อน
ปรับโครงสร้าง Step-up ให้ค่างวดช่วงแรกต่ำลง
หรือเริ่มลงทุนขนาดเล็กลงก่อน
หลายธุรกิจมีพื้นฐานดี แต่คำขอ สินเชื่อธุรกิจsme ไม่ผ่านหรือล่าช้า เพราะเอกสารคนละเรื่องเดียวกัน เช่น งบการเงินหนึ่งแบบ สเตทเมนต์อีกแบบ ภาษีอีกตัวเลขหนึ่ง
เอกสารพื้นฐานที่ควรเตรียมให้ครบ
งบการเงิน / ภาษี / สเตทเมนต์ย้อนหลัง 6–12 เดือน ที่ตัวเลขสอดคล้องกัน
แผนกระแสเงินสด (Cash Flow) 6–12 เดือน พร้อมภาพกรณีฐาน กรณีดีขึ้น และกรณีรายได้ลดลง
เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือโครงการที่ขอสินเชื่อ: ใบเสนอราคา สเปก ตารางติดตั้ง สัญญากับลูกค้า (PO / Contract)
ตารางเบิกใช้เงิน (Drawdown) และแนวทาง Step-up / Seasonal ถ้ามีการลงทุนระยะยาว
หลักฐานการใช้ OD อย่างมีวินัย เช่น การปิดหรือทยอยลดวงเงินเป็นช่วง ๆ
เช็กลิสต์ก่อนยื่นขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก
DSCR ในกรณีฐานมากกว่าหรือเท่ากับ 1.2–1.3
ในกรณีรายได้ลดลง 20% DSCR ควรไม่ต่ำกว่า 1.0 จนเกินไป
DSR ไม่สูงจนกระทบเงินสดหมุนในธุรกิจ
LTV สอดคล้องกับมูลค่าทรัพย์ที่แท้จริง และไม่ดันทิ้งมากเกินไป
วงเงิน OD ไม่เผื่อเกินความจำเป็น เพียงเพื่อ “รู้สึกอุ่นใจ” แต่กลับเพิ่มดอกเบี้ยโดยใช่เหตุ
เอกสารทั้งหมดเล่าเรื่องเดียวกัน มีสรุปภาพรวมธุรกิจและวัตถุประสงค์การขอสินเชื่อในหน้าเดียว
เมื่อเข้าใจแล้วว่า สินเชื่อsmeคืออะไร ผู้ให้กู้ดูอะไรบ้าง และตัวเลข DSCR / DSR / LTV มีผลอย่างไร การจะตัดสินใจ กู้sme หรือเลือกใช้ เงินกู้ด่วน สำหรับเสริมสภาพคล่องก็จะเป็นเรื่องที่ “คิดอย่างมีแผน” มากกว่า “ลองเสี่ยงดู”
จำไว้เสมอว่า
เลือกประเภท สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ให้ตรงงาน
ประเมินความสามารถผ่อนจากกระแสเงินสดจริง
ตั้งวงเงินและค่างวดในระดับที่ธุรกิจรับได้ทั้งกรณีฐานและกรณีรายได้ชะลอ
จัดเอกสารให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ให้กู้เห็นภาพธุรกิจคุณชัดตั้งแต่รอบแรก
หากต้องการอ่านต่อในเชิงลึก ทั้งเรื่องการวางแผนเงินสด การออกแบบชุดวงเงิน และกรณีศึกษาจริงของการใช้ สินเชื่อธุรกิจsme ให้เกิดประโยชน์ แนะนำให้กลับไปอ่านบทความหลักในหน้า
ลิงก์กลับ Hub : คู่มือสินเชื่อเพื่อธุรกิจ