เวลาพูดถึง สินเชื่อ SME แบบไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้าของกิจการส่วนใหญ่มักเริ่มจากคำถามว่า
“ธนาคารไหนดอกเบี้ยถูกสุด?”
“ที่ไหนอนุมัติง่ายสุด?”
แต่พอได้ “ใบข้อเสนอสินเชื่อ” จากหลายที่จริง ๆ กลับตัดสินใจยากกว่าเดิม เพราะแต่ละดีลมีทั้ง
ค่างวดไม่เท่ากัน ระยะเวลาผ่อนไม่เท่ากัน ค่าใช้จ่ายแฝง และเงื่อนไขยิบย่อยเต็มไปหมด
บทความนี้จะชวนคุณมองสินเชื่อแบบ “ดีลทางการเงิน” แทนที่จะมองแค่ “ดอกเบี้ยเท่าไร”
โดยโฟกัส 5 ส่วนตาม Outline:
เวลาคุณมีข้อเสนอสินเชื่อจาก 2–3 แห่ง สิ่งแรกที่ควรทำคือ “จับทุกดีลมาอยู่บนกระดาษแผ่นเดียวกัน” แล้วเทียบให้ครบอย่างน้อย 6 แกนนี้
วงเงินที่ได้เทียบกับยอดขาย/กำไรของธุรกิจ (เช่น กี่เท่าของยอดขายต่อปี)
ใช้ได้แบบไหน: เงินก้อนครั้งเดียว หรือวงเงินหมุนเวียน
ต้องเบิกใช้ภายในกี่เดือน ถ้าไม่เบิกใช้ครบมีค่าธรรมเนียมหรือไม่
ทำไมสำคัญ
บางดีลวงเงินดูสูง แต่บังคับเบิกเต็มหรือจำกัดวิธีใช้จนไม่ตรง pattern เงินสดของธุรกิจจริง ๆ
สำหรับแต่ละดีล ให้คุณเขียนตัวเลข 3 ค่าไว้คู่กัน
ค่างวดต่อเดือน หรือยอดชำระขั้นต่ำ
ระยะเวลาผ่อน (เช่น 24, 36, 60 เดือน)
ถ้าเป็นวงเงินหมุนเวียน ให้ดูยอดดอกเบี้ยขั้นต่ำต่อเดือน
แล้วถามตัวเองตรง ๆ ว่า
“ถ้ายอดขายแย่ลง 20–30% สัก 3–6 เดือนติดกัน เรายังจ่ายไหวไหม?”
ถ้าคำตอบคือ “เสียว ๆ” ดีลนั้นอาจเสี่ยงเกินไปสำหรับสภาพธุรกิจตอนนี้
แต่ละธนาคารไม่ได้ดูแค่ “มียอดขายเท่าไร” เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ
งบการเงิน: มีไหม? อัปเดตไหม?
Statement: เงินเข้า–ออกในบัญชีธุรกิจสม่ำเสมอหรือไม่
เอกสารภาษี: ภ.พ.30 / ภ.ง.ด. / ภ.พ.50 ฯลฯ
เอกสารประกอบอื่น ๆ: สัญญางาน ใบแจ้งหนี้ ยอดขายผ่านระบบดิจิทัล ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น สินเชื่อ “Smile Biz ธุรกิจยิ้มได้” ของ SME D Bank ที่เน้นช่วย SME เข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยถูก โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และใช้ข้อมูลธุรกิจจริงมาพิจารณาวงเงินแทนการดูทรัพย์สินล้วน ๆ
หรือโปรแกรม “จิ๋วสุดแจ๋ว” ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี วงเงินสูงสุด 500,000 บาท ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ผูกกับการเข้าอบรมพัฒนาธุรกิจเพื่อแลกส่วนลดค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย
เกณฑ์อนุมัติแบบนี้สะท้อนว่าธนาคารดู “คุณภาพเอกสารและพฤติกรรมธุรกิจ” มากกว่าทรัพย์สินอย่างเดียว
อย่าดูแค่ดอกเบี้ยต่อปี ให้ลองรวม:
ค่าธรรมเนียมจัดสินเชื่อ
ค่าประเมิน / ค่าทำนิติกรรม (ถ้ามี)
ค่าธรรมเนียมรายปีของวงเงิน
ค่าค้ำประกัน (เช่น บสย. ในบางโปรแกรมของ SME D Bank)
แล้วค่อยประเมิน “ต้นทุนต่อปีโดยประมาณ” ของแต่ละดีล เพื่อใช้เป็นฐานเปรียบเทียบ
สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ไหมในอนาคต
มีค่าปรับกรณีปิดก่อนกำหนดหรือไม่
มีข้อกำหนดเรื่องยอดเงินคงเหลือในบัญชี หรือการเดินบัญชีขั้นต่ำหรือเปล่า
ดีลดอกเบี้ยถูกแต่เงื่อนไขแข็งมาก ๆ อาจไม่เหมาะกับธุรกิจที่ยอดขายเหวี่ยงตามฤดูกาล
ค่างวดรวม (ทั้งเก่าและใหม่) คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน
เมื่อกู้เพิ่มแล้ว DSCR (ความสามารถชำระหนี้) ของธุรกิจดีขึ้นหรือแย่ลง
ถ้าใช้วงเงินเต็ม ธุรกิจยังมี buffer รับวิกฤตได้กี่เดือน
การคิดเรื่อง “สายป่าน” ทำให้เราไม่มองสินเชื่อเป็นแค่ “เงินก้อนเข้าบัญชี”
แต่เห็นทั้งภาพความเสี่ยงของธุรกิจในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า
พอได้ข้อเสนอจาก 2–3 แห่ง ให้คุณเปิด Excel หรือ Google Sheets แล้ววางหัวตารางประมาณนี้
ธนาคาร / โปรแกรม
วงเงินที่ขอ (ใช้ฐานเท่ากันเช่น 2 ล้านบาท)
ค่างวดต่อเดือน / ระยะเวลาผ่อน
วิธีใช้วงเงิน (เงินก้อน / วงเงินหมุนเวียน / ผสม)
ค่าธรรมเนียมตั้งต้น + รายปี + ค่าค้ำ
เอกสารสำคัญที่ต้องใช้
ข้อสังเกตเรื่องความยืดหยุ่น / เงื่อนไข
แล้วแปลงทุกดีลให้อยู่ในฐานเดียวกัน เช่น “ถ้ากู้ 2 ล้านบาทจากแต่ละเจ้า”
คุณจะเห็นความต่างชัดขึ้นว่า:
ดีลไหนค่างวดสูงแต่จบหนี้เร็ว
ดีลไหนค่างวดเบาแต่ยืดเวลานาน ต้องแบกดอกเบี้ยรวมมากขึ้น
ดีลไหนมีค่าธรรมเนียมยิบย่อยที่ทำให้ต้นทุนแท้จริงสูงกว่าที่คิด
แทนที่จะถามว่า “ดีลไหนดีที่สุด” ให้ถามว่า
“ในสเตจนี้ของธุรกิจเรา ดีลแบบไหนเสี่ยงน้อยที่สุดและคุ้มที่สุด”
ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการรายย่อม–กลาง มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีสเตทเมนต์และภาษีพอสมควร แต่ไม่มีทรัพย์สินจดทะเบียนในชื่อบริษัท
การดูโปรแกรมอย่าง “Smile Biz ธุรกิจยิ้มได้” ของ SME D Bank ที่เน้นไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และใช้ บสย. ช่วยค้ำบางส่วน อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับนำเข้าตารางเทียบกับข้อเสนอจากธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ
ถ้าค่างวดไม่กินสัดส่วนรายได้มากเกินไป และคุณรับภาระค่าค้ำ/ค่าธรรมเนียมรวมได้ในระยะ 2–3 ปี ดีลลักษณะนี้ถือว่าน่าสนใจ
ในช่วง 2567–2568 SME D Bank ยังมีโปรแกรม “จิ๋วสุดแจ๋ว” และ “Micro OK” ที่เน้นรายย่อยและไมโครเอสเอ็มอี วงเงินระดับหลักแสน ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เน้นเสริมทุนและพัฒนาไปพร้อมกัน
ดีลแบบนี้เหมาะสำหรับ
ร้านเล็ก ๆ ที่เริ่มเดินบัญชีและยื่นภาษีอย่างจริงจัง
ต้องการเงินทุนไม่มากแต่ต้องการ “เคสเครดิตดี ๆ” ในระบบ เพื่อใช้ต่อยอดกับวงเงินที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต
ฝั่งธนาคารพาณิชย์หลายเจ้าเริ่มออกโปรแกรมเฉพาะทาง เช่น
หน้า “ธุรกิจสุขภาพและความงาม” ของกสิกรไทย ที่แนะนำ สินเชื่อธุรกิจ SME เลือกได้ พร้อมข้อความชัดเจนว่า “เปิดร้านปีเดียวก็กู้ได้ ไม่ต้องใช้หลักประกัน” สำหรับธุรกิจร้านเสริมสวย สปา คลินิกความงาม และบริการสุขภาพอื่น ๆ
สำหรับคลินิกที่มีแพทย์เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นหลัก ยังมีโปรแกรมเฉพาะอาชีพ เช่น
สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการวิชาชีพแพทย์ของ SCB ซึ่งจัดเป็นสินเชื่อธุรกิจสำหรับแพทย์/คลินิกโดยเฉพาะ มีทั้งแบบใช้และไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างดีลที่เลือก
สินเชื่อ “กลุ่มวิชาชีพทางการแพทย์” ของธนาคารออมสิน ที่ให้กู้สูงสุดถึง 10 ล้านบาท และมีทางเลือกแบบ Clean Loan (ไม่ใช้บุคคลค้ำประกัน) วงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาทผ่อนได้นานสุด 10 ปี
โปรแกรมพวกนี้สะท้อนว่า ธนาคารเห็น “ศักยภาพรายได้ของอาชีพ” และ “โมเดลธุรกิจคลินิก” จึงออกเกณฑ์พิจารณาและวงเงินที่ต่างจาก SME ทั่วไป การเปรียบเทียบดีลจึงควรรวมทั้งโปรแกรมทั่วไปและโปรแกรมเฉพาะทางไว้ในตารางเดียวกัน
คุณมีเครดิตเทอม 60 วัน เงินจมในลูกหนี้การค้าเกือบตลอดเวลา
ต้องการเงินทุนเสริมเพื่อไม่ให้ขาดสภาพคล่องช่วงรอเก็บเงิน
ในตารางเทียบ ดีลที่ควรเอามาดูคู่กันคือ
สินเชื่อเสริมสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ที่อิงจากยอดเดินบัญชี
สินเชื่อเพื่อ SME ของธนาคารรัฐที่ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำ แต่ใช้ บสย. ค้ำแทน (เช่น Smile Biz)
แล้วดูว่า ดีลไหนทำให้ “ช่วงรอยต่อ 60 วัน” ของคุณ ไม่ทำให้บัญชีติดลบหรือต้องหันไปหาวงเงินนอกระบบ
คุณมีคลินิกหลักอยู่แล้ว รายได้ค่อนข้างนิ่ง
ต้องการขยายห้องหัตถการ/ซื้อเครื่องมือเพิ่ม
ในตารางเทียบ คุณอาจมี 3 บรรทัดหลัก ๆ
โปรแกรมสินเชื่อธุรกิจ SME เลือกได้ (KBank)สำหรับธุรกิจสุขภาพ–ความงาม ที่ไม่ต้องใช้หลักประกันถ้าเข้าเกณฑ์เวลาเปิดร้าน
สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการวิชาชีพแพทย์ (SCB) ที่อิงอาชีพ/รหัสแพทย์ของคุณเป็นสำคัญ
สินเชื่อกลุ่มวิชาชีพทางการแพทย์ (ออมสิน) แบบ Clean Loan วงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท
จากนั้นเปรียบเทียบ
วงเงินที่ได้จริงเมื่อใส่ตัวเลขรายได้–หนี้เดิม
ระยะเวลาผ่อนเทียบกับ “ระยะเวลาคืนทุนของการลงทุนใหม่”
ความยืดหยุ่นกรณีลงทุนแล้วรายได้เพิ่มช้ากว่าที่คาด
ดีลที่ “ค่างวดไม่บีบเกินไปในปีแรก” มักปลอดภัยกว่าดีลที่ให้วงเงินสูงสุดแต่ภาระจ่ายหนักเกินสายป่าน
ในช่วงปี 2567–2568 ตลาดไทยมีโปรแกรม สินเชื่อ SME ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ให้เลือกมากขึ้น ทั้งจากธนาคารรัฐอย่าง SME D Bank และออมสิน รวมถึงธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่ออกโปรแกรมเฉพาะกลุ่มอาชีพและธุรกิจเฉพาะทางอย่างธุรกิจสุขภาพและความงาม
หน้าที่ของเจ้าของกิจการจึงไม่ใช่แค่ “หาแบงก์ที่ดอกเบี้ยถูกสุด”
แต่คือการ
มองให้ชัดว่าธุรกิจของเราติดอยู่ตรงไหนของ “รอบเงินจริง”
ขอข้อเสนอจากหลายที่ แล้วดึงทุกดีลมาเปรียบเทียบบนตารางเดียวกัน
ดูครบทั้งโครงสร้างวงเงิน ค่างวด ต้นทุนแท้จริง เงื่อนไข และผลต่อสายป่าน
เลือกดีลที่ทำให้ธุรกิจไปต่อได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ได้เงินก้อนในวันนี้
จากนั้นค่อยพาผู้อ่านไปต่อด้วยลิงก์ “คู่มือสินเชื่อ SME ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน” (หน้าแม่)
เพื่อศึกษารายละเอียดเชิงลึกของผลิตภัณฑ์แต่ละแบบอีกทีหนึ่ง
โจทย์:
ต้องจ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าเช่าพื้นที่ก่อน
แต่ลูกค้าจ่ายทีหลัง หรือยอดขายรายวันเหวี่ยง
สินเชื่อที่มักตอบโจทย์
วงเงินหมุนเวียน (OD / Revolving)
สินเชื่อจากยอดขาย (Merchant / QR Cash Advance)
แนวคิด:
ใช้ OD เป็นกันชนสำรอง เผื่อวันรายรับช้ากว่าปกติ
ใช้ Cash Advance ช่วยให้ผ่อนหนี้ตามยอดขายจริง ไม่มีค่างวดคงที่มายึดตายตัวทุกเดือน
โจทย์:
ขายแบบ B2B มีเครดิตเทอม 30–90 วัน
มีใบแจ้งหนี้กองเต็ม แต่เงินสดในมือกลับตึง
สินเชื่อที่มักตอบโจทย์
Invoice Financing / Factoring
คุณเปลี่ยนใบแจ้งหนี้ที่มีเครดิตเทอมยาว ให้เป็นเงินสด 70–90% ภายในไม่กี่วัน จากนั้นเมื่อครบกำหนด ลูกค้าค่อยจ่ายคืนให้สถาบันการเงินตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
โจทย์:
รีโนเวตร้าน เพิ่มเครื่องจักร เปิดสาขาใหม่
ต้องการเงินก้อน แต่ไม่อยากเอาบ้าน/ที่ดินไปค้ำ
สินเชื่อที่มักตอบโจทย์
Term Loan ไม่มีหลักทรัพย์
Term Loan ร่วมกับบสย.ค้ำประกัน
ข้อดีคือ มียอดค่างวดคงที่ วางแผนกระแสเงินสดระยะ 2–5 ปีได้ค่อนข้างชัด แต่ต้องมั่นใจว่า “หลังลงทุนแล้ว ยอดขายและกำไรจะพอจ่ายค่างวด” ตามแผน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเจรจาปรับโครงสร้างในอนาคต
ก่อนกดส่งใบสมัคร ลองใช้ “เช็กลิสต์” นี้ช่วยทบทวนอีกครั้ง (สังเคราะห์จากเช็กลิสต์และข้อแนะนำในบทความเดิม)
อย่าดูแค่ “ดอกเบี้ยต่อปี” ที่โฆษณา ควรรวม
ดอกเบี้ย
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
ค่าค้ำประกันบสย. (ถ้ามี)
จากนั้นค่อยเทียบกันในรูปแบบ “ต้นทุนต่อปีโดยประมาณ”
สินเชื่อบางแบบ เช่น Cash Advance หรือแฟคตอริ่ง ต้นทุนจะอยู่ในรูป “ค่าธรรมเนียมต่อรอบ/ต่อใบแจ้งหนี้” จึงต้องเอามาคำนวณกลับเป็น % ต่อปีในสเปรดชีตก่อนค่อยเปรียบเทียบ
ถามตัวเองให้ชัดว่า
ถ้าเป็น Term Loan ผ่อนคงที่ – เดือนที่ยอดขายแผ่วลง เรายังรับค่างวดไหวไหม?
ถ้าเป็น Cash Advance – รับได้แค่ไหนถ้ายอดขายแต่ละวันถูกหักออกบางส่วนอย่างต่อเนื่อง?
ถ้าเป็น Factoring/PO Finance – ยอมแลกกำไรบางส่วนกับความเร็วในการรับเงินสดไหม?
จากโครงบทความเดิมของคุณ จะเห็นชัดว่า สถาบันการเงินให้ความสำคัญกับ “ความสอดคล้องของข้อมูล” มากกว่าเอกสารแยก ๆ ชิ้นเดียว
ควรเช็กว่า
สมุดบัญชี/Statement สะท้อนยอดขายจริงที่แจ้งใน ภ.พ.30/50 หรือไม่
งบการเงิน/สรุปรายได้ สอดคล้องกับตัวเลขในระบบภาษี
รายละเอียดในใบสั่งซื้อ ใบแจ้งหนี้ สัญญารับงาน ตรงกับลักษณะกิจการที่ระบุในการสมัคร
ยิ่งเอกสารเล่า “เรื่องเดียวกัน” มากเท่าไร โอกาสอนุมัติและได้วงเงินตามศักยภาพก็ยิ่งสูงขึ้น
บสย. ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักทรัพย์ มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อและวงเงินที่เหมาะสมมากขึ้น แต่ก็มี ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน ที่ต้องนำมาคิดรวมในต้นทุน และยังต้องผ่านเกณฑ์ประเมินความสามารถจ่ายหนี้ตามปกติ ไม่ใช่ “กดปุ๊บผ่านทันที”
ในบทความเดิมมีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น
ร้านกาแฟ ใช้ Cash Advance คู่กับวงเงิน OD เล็ก ๆ
โรงงาน B2B ใช้ Factoring คู่กับ Term Loan ลงทุนเครื่องจักร
แนวคิดคือ แทนที่จะบีบทุกอย่างเข้าไปในสินเชื่อแบบเดียว ลองแบ่งเป็น 2–3 เครื่องมือ ที่ตอบโจทย์คนละส่วนของ “รอบเงินจริง” จะปลอดภัยและยืดหยุ่นกว่าในระยะยาว
เมื่อมองภาพรวมของสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์จะเห็นว่า
ไม่มีแบบไหน “ดีที่สุดตลอดกาล”
มีแต่แบบที่ “เข้ากับโจทย์เงินสดของธุรกิจคุณมากที่สุด” ในช่วงเวลานั้น
ขั้นตอนสั้น ๆ ที่คุณสามารถเริ่มทำได้เลยคือ
ระบุให้ชัดว่า ตอนนี้ “คอขวดเงินสด” อยู่ตรงไหน (ทุนหมุนเวียน, ลูกหนี้การค้า, การลงทุน, ยอดขาย)
เลือกประเภทสินเชื่อ 1–2 แบบที่ตอบโจทย์ตรงจุดนั้น
เปรียบเทียบ ต้นทุนแท้จริง + ผลกระทบต่อกระแสเงินสดไม่ใช่ดูแค่ดอกเบี้ย
เตรียมเอกสารให้เล่าเรื่องเดียวกันทั้งบัญชี ภาษี และสัญญาต่าง ๆ
ถ้าดูแล้วยังลังเล ว่าควรเริ่มจาก Term Loan, วงเงินหมุนเวียน, แฟคตอริ่ง หรือ Cash Advance ก่อนดี คุณสามารถใช้บทความอื่นในคลัสเตอร์ เช่น
บทความอธิบายประเภทสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์
บทความเรื่องวงเงินสินเชื่อ และวิธีคิดต้นทุนที่แท้จริง
มาประกอบการตัดสินใจต่อได้อย่างเป็นระบบ
→ เช็กคุณสมบัติของฉัน | → เช็กลิสต์เอกสาร | → คู่มือภาพรวมทั้งหมด