ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่ไม่มีบ้าน ที่ดิน หรืออาคารเป็นชื่อบริษัท แต่ธุรกิจต้องใช้เงินทุนเพิ่ม คุณอาจเคยได้ยินคำว่า
“สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน”
“กู้โดยใช้เดินบัญชี/เอกสารธุรกิจแทนทรัพย์สิน”
“ใช้ บสย. ค้ำแทนหลักทรัพย์”
ปัญหาคือ เวลาคุยกับธนาคารจริง ๆ มักมีคำศัพท์เต็มไปหมด
ทั้ง Term, OD, แฟคตอริ่ง, เงินทดรองยอดขาย, PO/Contract
บทความนี้จะช่วยคุณทำ 3 อย่างในที่เดียว
เห็นแผนที่ภาพรวม ของประเภทสินเชื่อสำหรับธุรกิจที่ “ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน”
รู้ว่าแต่ละแบบเหมาะกับโจทย์อะไร (หมุนเวียน /ลงทุน / ระยะสั้น–ยาว)
ใช้ ตารางเลือกแบบเร็ว (1 นาที) + Checklist ปิดท้าย ช่วยตัดสินใจเบื้องต้นได้เอง ก่อนคุยกับธนาคารหรือที่ปรึกษา
ดูภาพรวมทั้งคลัสเตอร์ → คู่มือ “สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (2568)”
เตรียมเอกสารให้พร้อม → เช็กลิสต์เอกสาร
เราลองเรียง “ประเภทสินเชื่อเพื่อธุรกิจ” สำหรับ SME ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
หน้าตาโดยย่อ
ได้เป็น “เงินก้อน”
ผ่อนชำระเป็นงวดเท่า ๆ กัน (รายเดือน)
ระยะเวลาผ่อนตั้งแต่ 1–7 ปีแล้วแต่สถาบันการเงินและความเสี่ยง
เหมาะกับ
ลงทุนเครื่องจักร/อุปกรณ์
รีโนเวตร้าน/โรงงาน
ขยายไลน์สินค้า/เพิ่มบริการใหม่ที่คืนทุนเป็นปี
ข้อดี
วางแผนค่างวดได้ชัด
ใช้สำหรับ “โปรเจกต์ลงทุน”ได้ดี
ข้อควรระวัง
ถ้ารายได้เหวี่ยง แต่ค่างวดคงที่ อาจทำให้ตึงมือในเดือนยอดขายตก
หน้าตาโดยย่อ
วงเงินที่ใช้ “รูดเข้า–ออก” ได้
ใช้เท่าไร เสียดอกเบี้ยเท่านั้น ถ้าไม่ใช้ก็ไม่เสียดอกเบี้ย
เหมาะเป็นกันชนสภาพคล่องระยะสั้น
เหมาะกับ
ธุรกิจที่มีรายจ่ายประจำ(ค่าเช่า ค่าแรง วัตถุดิบ)
แต่รายรับเข้า “ไม่พอดีวัน” เช่น ขายเชื่อ, เครดิตเทอม หรือยอดขายเหวี่ยงตามฤดูกาล
ข้อดี
ยืดหยุ่นมาก
เหมาะกับการ “แต่งจังหวะเงินเข้า–ออก”
ข้อควรระวัง
ถ้าใช้เต็มวงเงินบ่อย ๆ และไม่เคยคืนจนวงเงิน “โล่ง” เลย ธนาคารจะอ่านว่าคุณเริ่มพึ่งหนี้มากเกินไป
หน้าตาโดยย่อ
เปลี่ยน “ใบแจ้งหนี้/ลูกหนี้การค้า” ให้กลายเป็นเงินสดล่วงหน้า
ได้เงิน 70–90% ของมูลค่าใบแจ้งหนี้ ที่ลูกค้าคุณต้องจ่ายในอนาคต
เหมาะกับ
ธุรกิจ B2B ที่มีเครดิตเทอม 30–90 วัน
โรงงาน ซัพพลายเออร์ ตัวแทนจำหน่าย ที่มีใบ PO/ใบแจ้งหนี้กับลูกค้ารายใหญ่
ข้อดี
ปลดล็อกเงินที่จมในลูกหนี้ให้หมุนกลับมา
ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ แต่ใช้คุณภาพลูกหนี้และเอกสารแทน
ข้อควรระวัง
ต้นทุนจะอยู่ในรูปแบบ “ค่าธรรมเนียมต่อใบแจ้งหนี้”
ต้องอ่านสัญญาให้ดีว่า ใครรับความเสี่ยงหากลูกหนี้ไม่จ่าย (แบบมีไล่เบี้ย / ไม่มีไล่เบี้ย)
หน้าตาโดยย่อ
ใช้ยอดขายผ่านเครื่อง EDC / QR Payment เป็นฐาน
ได้วงเงินล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง
ระบบจะหักคืนจากยอดขายแต่ละวัน/เดือนเป็นเปอร์เซ็นต์
เหมาะกับ
ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก ที่ยอดขายผ่านบัตร/QR ชัดเจน
กิจการที่ต้องการเงินก้อน แต่ไม่อยากผ่อนค่างวดคงที่
ข้อดี
ยอดผ่อน “ยืดหยุ่นตามยอดขายจริง”
ช่วงยอดขายตก ก็จะถูกหักน้อยลง
ข้อควรระวัง
ถ้าใช้ร่วมกับค่าใช้จ่ายประจำอื่น ๆ ต้องวางแผนดี ๆ ไม่ให้เงินสดในมือบางเกินไป
หน้าตาโดยย่อ
ใช้ “ใบสั่งซื้อ (PO)” หรือ “สัญญารับงาน/โครงการ” เป็นหลักฐานในการขอเงินทุน
ธนาคาร/สถาบันการเงินจะปล่อยเงินให้คุณไปจัดซื้อวัตถุดิบ/เริ่มงาน ก่อนที่ลูกค้าจะจ่ายจริง
เหมาะกับ
ผู้รับเหมาก่อสร้าง
กิจการที่รับงานโปรเจกต์ เช่น งานระบบ, จัดอีเวนต์, โปรดักชัน ฯลฯ
ข้อดี
ช่วยให้ไม่ต้องเอาเงินตัวเองไปแบกรับต้นทุนทั้งหมดก่อน
ทำให้รับงานใหญ่ขึ้นได้โดยไม่ติดที่สภาพคล่อง
ข้อควรระวัง
ต้องบริหารต้นทุนให้อยู่ในกรอบ
ถ้าโปรเจกต์ล่าช้าหรือถูกเลื่อน อาจกระทบแผนคืนเงินกู้
เพื่อให้ไม่งง ลองมองใหม่ว่า
“เราต้องการสินเชื่อไปทำอะไร – หมุนเวียน ระยะสั้น หรือ ลงทุนระยะยาว?”
แล้วค่อยเอา “ประเภทสินเชื่อ” ข้างบนมาวางลงตารางในหัว
เหมาะกับการแก้ “จังหวะเงินเข้า–ออก” เช่น
OD ไม่มีหลักทรัพย์
เงินทดรองยอดขายจากยอดบัตร/QR
ใช้หายใจระหว่างเดือน แก้ “รูรั่วสภาพคล่อง” ชั่วคราว
เหมาะกับธุรกิจที่ “มีงาน มีลูกค้า แต่เงินยังไม่เข้า”
แฟคตอริ่ง / Invoice Financing
PO/Contract Finance
ใช้ดึงเงินจากอนาคตเข้าปัจจุบัน โดยมีเอกสารงานจริงรองรับ
เน้นสร้างรายได้เพิ่มหรือเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว
Term Loan ไม่มีหลักทรัพย์ (ผ่อน 1–7 ปี)
ใช้ลงทุนเครื่องจักร สาขาใหม่ รีโนเวต ฯลฯ
แนะนำสำหรับ Google Sites:
คุณสามารถทำ “ตาราง 3 คอลัมน์” วางใน Section นี้
คอลัมน์ = วัตถุประสงค์ / ประเภทสินเชื่อที่เหมาะ / หมายเหตุสั้น ๆ
เพื่อทำเป็น Cheat sheet ให้คนอ่านเซฟภาพ/ดาวน์โหลดได้
บางทีการดูจากตัวอย่างจะจำง่ายกว่าทฤษฎี มาลองดู 2 เคสสั้น ๆ
ร้านอาหารยอดขายดี แต่ยอดขายเหวี่ยงตามฤดูกาล
เจ้าของเลือกรับ “Term Loan ไม่มีหลักทรัพย์” วงเงินสูง เพื่อใช้เป็นทุนหมุนในแต่ละเดือน
ผลคือ
ค่างวดตายตัวสูงทุกเดือน
เดือนยอดขายตก ก็ต้องเอาเงินสำรองส่วนตัวมาช่วยจ่าย
สุดท้ายต้องไปขอวงเงินหมุนเวียนเพิ่มอยู่ดี
ถ้าเลือกใหม่ได้
ใช้ OD วงพอเหมาะ เป็นกันชน
ใช้ Term Loan เฉพาะส่วนที่เป็น “ลงทุนปรับร้าน/เพิ่มครัว” ไม่เอามาใช้หมุนเป็นค่าใช้จ่ายทุกเดือน
โรงงานเล็กที่ขายให้ห้างใหญ่ เครดิตเทอม 60 วัน เงินจมเดือนละ 2–3 ล้านบาท
เจ้าของไม่รีบวิ่งไปกู้ Term Loan แต่เลือกใช้
แฟคตอริ่งสำหรับใบแจ้งหนี้ของห้าง
ดึงเงินสดล่วงหน้า 70–80% ของยอดลูกหนี้
ผลคือ
เงินสดหมุนทัน ไม่ต้องไปกู้เงินก้อนใหญ่เพื่อโปะช่วงรอเก็บเงิน
ภาระดอกเบี้ย/ค่าธรรมเนียมผูกกับ “ยอดขายจริงที่เกิดขึ้นแล้ว” มากกว่าการกู้เผื่อ
ก่อนจะตัดสินใจส่งคำขอสินเชื่อ ลองใช้ Checklist นี้ช่วยสรุปอีกครั้ง
รู้แล้วว่าธุรกิจเราติดอยู่ตรงไหนของรอบเงินจริง
- ขาดทุนหมุนเวียนระยะสั้น / ต้องลงทุนยาว / เงินจมในลูกหนี้
แยกได้แล้วว่า “ต้องการวงเงินหมุนเวียน” หรือ “เงินลงทุนก้อนใหญ่” หรือ “เงินจากใบแจ้งหนี้/PO”
เข้าใจข้อดี–ข้อควรระวังของ
- Term Loan ไม่มีหลักทรัพย์
- OD ไม่มีหลักทรัพย์
- แฟคตอริ่ง /Invoice Financing
- เงินทดรองยอดขาย
- PO/Contract Finance
ทดลองใส่ข้อมูลลงใน “ตารางเลือกแบบเร็ว (1 นาที)” ดูแล้ว ว่าประเภทไหน match กับสถานการณ์ของเรา
เตรียมเช็กลิสต์เอกสาร + วิธีประเมินตัวเองก่อนยื่นกู้ (เช่น ดู DSCR/DSR, เครดิตบูโร)
ตรงนี้ คุณสามารถ
ทำ Google Sheet เป็น “ตารางเลือกแบบเร็ว 1 นาที”
ให้เจ้าของกิจการเลือก: “โจทย์ของคุณคืออะไร?” → แล้วมีคอลัมน์แนะนำประเภทสินเชื่อ
บทนี้เป็น “แผนที่ & Cheat Sheet” ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
บทความนี้เป็นเหมือน แผนที่ + Cheat sheet ให้คุณเข้าใจว่า
สำหรับ ธุรกิจ SME ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
มี “ชุดเครื่องมือสินเชื่อ”อะไรให้เลือกบ้าง
แต่ละแบบตอบโจทย์อะไรและเสี่ยงอย่างไร
หลังจากอ่านจบแล้ว แนะนำให้ผู้อ่านไปต่อที่:
บทความวิธีประเมินตัวเองก่อนยื่นสินเชื่อ → เช็กสุขภาพการเงินตัวเอง
บทความคู่มือขอสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ 2568 ให้ผ่านในครั้งเดียว→ ดูขั้นตอนยื่นจริง + เอกสาร
บทความเปรียบเทียบสินเชื่อ SME ไม่ใช้หลักทรัพย์ → เอาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาเทียบในตาราง
เพื่อให้เส้นทางจาก “เข้าใจประเภทสินเชื่อ → ประเมินตัวเอง → เลือกดีล → ยื่นกู้” สมบูรณ์ครบทั้งคลัสเตอร์ค่ะ
เช็กคุณสมบัติของฉัน (3 นาที) → ไปหน้าแม่
เตรียมเอกสารให้ครบ → เช็กลิสต์เอกสาร