หลักประกันเพื่อลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสินเชื่อที่เราสารารถเลือกได้ การเข้าใจวิธีคำนวณมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันจึงเป็นความรู้สำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการเลือกสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพว่าตนมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน หลักการคำนวณมูลค่าหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อธุรกิจ เรียนรู้เกี่ยวกับ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ที่ช่วยเสริมสภาพคล่องธุรกิจ
ก่อนเข้าสู่วิธีการคำนวณเราควรทำความเข้าใจประเภทของหลักทรัพย์ที่สถาบันการเงินยอมรับเป็นหลักประกัน ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอะไรบ้างที่ใช้ค้ำประกันได้มีดังนี้
อสังหาริมทรัพย์ - ที่ดิน บ้าน อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม
พันธบัตรรัฐบาล - พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ
เงินฝากประจำ - บัญชีเงินฝากประจำ ใบรับเงินฝากประจำ
หลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ - หุ้นสามัญ หุ้นกู้ หน่วยลงทุน
เครื่องจักรและอุปกรณ์ - เครื่องจักรในโรงงาน อุปกรณ์การผลิต
ยานพาหนะ - รถยนต์ รถบรรทุก เรือ
อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันที่นิยมใช้มากที่สุดในการขอสินเชื่อธุรกิจ โดยสถาบันการเงินจะคำนวณมูลค่าดังนี้
ที่ดินเปล่า สถาบันการเงินจะประเมินมูลค่าตามราคาประเมินของกรมที่ดินหรือราคาตลาด และมักให้วงเงินสินเชื่อประมาณ 50-70% ของราคาประเมิน
บ้านและที่ดิน คำนวณจากมูลค่าที่ดินรวมกับมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง โดยหักค่าเสื่อมราคาของอาคาร วงเงินสินเชื่อมักอยู่ที่ 60-80% ของราคาประเมิน
อาคารพาณิชย์ ประเมินจากทำเลที่ตั้ง สภาพอาคาร และศักยภาพเชิงพาณิชย์ วงเงินสินเชื่อประมาณ 60-80% ของราคาประเมิน
คอนโดมิเนียม ประเมินจากทำเลที่ตั้ง อายุอาคาร และสภาพห้อง วงเงินสินเชื่อประมาณ 70-85% ของราคาประเมิน
ตัวอย่างการคำนวณที่ดินมีราคาประเมินจากกรมที่ดิน 5,000,000 บาท ราคาประเมินจากสถาบันการเงิน 5,500,000 บาท สถาบันการเงินให้วงเงินสินเชื่อ 60% ของราคาประเมิน วงเงินสินเชื่อที่ได้รับ = 5,500,000 × 60% = 3,300,000 บาท
พันธบัตรและเงินฝากเป็นหลักประกันที่มีความเสี่ยงต่ำ จึงได้รับอัตราการประเมินมูลค่าสูง
พันธบัตรรัฐบาล: มักได้รับวงเงินสินเชื่อ 90-95% ของมูลค่าพันธบัตร
เงินฝากประจำ: ได้รับวงเงินสินเชื่อ 90-100% ของยอดเงินฝาก
ตัวอย่างการคำนวณเงินฝากประจำ 1,000,000 บาท สถาบันการเงินให้วงเงินสินเชื่อ 95% ของยอดเงินฝาก วงเงินสินเชื่อที่ได้รับ = 1,000,000 × 95% = 950,000 บาท
หลักทรัพย์ในตลาดมีความผันผวนสูง สถาบันการเงินจึงมีวิธีคำนวณเฉพาะ
หุ้นสามัญ: มักประเมินที่ 50-70% ของราคาตลาด โดยพิจารณาจากสภาพคล่อง ความผันผวน และฐานะการเงินของบริษัท
หุ้นกู้: ประเมินที่ 70-85% ของมูลค่าตราสาร
หน่วยลงทุน: ประเมินตามประเภทกองทุน โดยกองทุนตราสารหนี้จะได้รับการประเมินสูงกว่ากองทุนหุ้น
ตัวอย่างการคำนวณ:หุ้นสามัญมูลค่าตลาด 2,000,000 บาท สถาบันการเงินประเมินที่ 60% ของมูลค่าตลาด วงเงินสินเชื่อที่ได้รับ = 2,000,000 × 60% = 1,200,000 บาท
เครื่องจักรและอุปกรณ์มีค่าเสื่อมราคาสูง จึงมีวิธีคำนวณดังนี้
ประเมินจากราคาตลาดปัจจุบัน หักด้วยค่าเสื่อมราคาตามอายุการใช้งาน
วงเงินสินเชื่อมักอยู่ที่ 40-60% ของมูลค่าประเมิน
เครื่องจักรใหม่จะได้รับการประเมินสูงกว่าเครื่องจักรเก่า
ตัวอย่างการคำนวณ:เครื่องจักรราคาซื้อใหม่ 10,000,000 บาท อายุการใช้งาน 3 ปี ค่าเสื่อมราคา 20% ต่อปี = 10,000,000 × (1 - 0.2)³ = 5,120,000 บาท สถาบันการเงินประเมินที่ 50% ของมูลค่าหลังหักค่าเสื่อม วงเงินสินเชื่อที่ได้รับ = 5,120,000 × 50% = 2,560,000 บาท
ยานพาหนะมีค่าเสื่อมราคาสูงและรวดเร็ว การคำนวณมูลค่าจึงมีหลักเกณฑ์ดังนี้
ประเมินจากราคาตลาดปัจจุบัน โดยพิจารณาจากยี่ห้อ รุ่น ปี และสภาพ
วงเงินสินเชื่อมักอยู่ที่ 50-70% สำหรับรถใหม่ และ 40-60% สำหรับรถมือสอง
ตัวอย่างการคำนวณ:รถบรรทุกมูลค่าตลาด 2,000,000 บาท สถาบันการเงินประเมินที่ 60% ของมูลค่าตลาด วงเงินสินเชื่อที่ได้รับ = 2,000,000 × 60% = 1,200,000 บาท
ประกอบการ การเตรียมหลักทรัพย์ที่เหมาะสมและมีมูลค่าเพียงพอจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อในวงเงินที่ต้องการ ผู้ประกอบการควรพิจารณาประเภทของหลักทรัพย์ที่มี ศึกษาหลักเกณฑ์การประเมินของสถาบันการเงิน และวางแผนการใช้หลักทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ
หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อธุรกิจ การคำนวณมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อธุรกิจ เชิญเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเพื่อรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และบริการให้คำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
#สินเชื่อเพื่อธุรกิจ #สินเชื่อธุรกิจ #สินเชื่อมีหลักประกัน #หลักทรัพย์ค้ำประกัน #กู้เงินธุรกิจ #สินเชื่ออนุมัติง่าย #เงินกู้ธุรกิจ