สำหรับเจ้าของกิจการ การเลือก “แหล่งเงินทุน” คือหนึ่งในการตัดสินใจที่ยากที่สุด เพราะมีตัวเลือกมากมาย—ธนาคารพาณิชย์, สถาบันการเงินของรัฐ, Non-Bank/Fintech, แฟคตอริง, รีไฟแนนซ์, ไปจนถึงนักลงทุนเอกชน การตัดสินใจผิดประเภททำให้ต้นทุนบานและกระทบกระแสเงินสด ในบทความนี้ ผมสรุปข้อดี–ข้อจำกัด–เหมาะกับใครของแต่ละทางเลือก พร้อม “ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ (Expert Opinion)” และเช็กลิสต์เลือกเงินทุนแบบสั้น ๆ
อ่านวิธีเลือก DSR (Debt Service Ratio) คืออะไร และขั้นตอนยื่น ได้ที่หน้า สินเชื่อเพื่อธุรกิจ
ธนาคารพาณิชย์
จุดเด่น: ต้นทุนดอกเบี้ยแข่งขันได้, วงเงินสูง, ผลิตภัณฑ์หลากหลาย (OD/TR/LC/Term Loan)
ข้อจำกัด: เกณฑ์อนุมัติเข้ม เอกสารละเอียด ใช้เวลา และมักต้องมีหลักทรัพย์ค้ำหรือบุคคลค้ำ
เหมาะกับ: ธุรกิจที่เดินบัญชีเป็นระบบ มีรายได้สม่ำเสมอ อายุกิจการ 6–12 เดือนขึ้นไป หรือมีหลักทรัพย์
[Expert Opinion]
ถ้าคุณต้องการ “วงเงินสูง + ดอกเบี้ยดี” และมีเวลาเตรียมเอกสาร ผมมักเริ่มที่ธนาคารพาณิชย์ก่อน เพราะถ้าอนุมัติได้ จะเป็นฐานต้นทุนที่ดีที่สุดในระยะยาว จากนั้นค่อยเติมด้วย Non-Bank/Fintech สำหรับจังหวะเงินสดฉุกเฉิน
สถาบันการเงินของรัฐ / โครงการรัฐ (เช่น SME D Bank, ออมสิน ฯลฯ)
จุดเด่น: มีโปรแกรมเฉพาะ SME ดอกเบี้ยโปรโมชัน/นโยบาย เงื่อนไขยืดหยุ่นขึ้น บางโครงการมี บสย. ค้ำ
ข้อจำกัด: มีกรอบโครงการและเงื่อนไขเฉพาะกลุ่ม ต้องติดตามรอบและเอกสารสนับสนุน
เหมาะกับ: ผู้เริ่มต้น, กลุ่มยุทธศาสตร์, ธุรกิจที่มีศักยภาพแต่หลักทรัพย์ไม่พอ
[Expert Opinion]
ถ้า “ไม่มีหลักทรัพย์” แต่มีสเตทเมนต์สวยและธุรกิจโตจริง โครงการรัฐ + บสย. ช่วย “เปิดประตู” ให้ธนาคารกล้าปล่อยกู้มากขึ้น คีย์คือเดินบัญชีโปร่งใสและ DS R ไม่ตึงเกินไป
Non-Bank / Fintech (ดิจิทัลเลนดิ้ง)
จุดเด่น: สมัครออนไลน์ ใช้ข้อมูลธุรกรรมจริง อนุมัติไว เอกสารไม่เยอะ เหมาะกับเงินทุนเติมหมุนเวียนสั้น ๆ
ข้อจำกัด: ดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคาร, วงเงินไม่ใหญ่มาก, สัญญาบางรายมีเงื่อนไขเฉพาะ ต้องอ่านให้ครบ
เหมาะกับ: ร้านค้าที่มียอดเดินบัญชี/ยอดขายดิจิทัลชัด ต้องการเงินด่วนระยะสั้นเพื่อหมุนสต็อก/โปรโมชั่น
[Expert Opinion]
ผมใช้ Fintech เป็น “เกียร์เสริม” ไม่ใช่แหล่งทุนหลัก ถ้าคุณควบคุมรอบเงินเข้า–ออกได้ดี Fintech จะคุ้มมาก แต่ถ้าวงเงินเริ่มโต ควรพิจารณารีไฟแนนซ์กลับธนาคารเพื่อลดต้นทุน
แฟคตอริง / อินวอยซ์ไฟแนนซ์
จุดเด่น: เปลี่ยนใบแจ้งหนี้ลูกค้า (เครดิตเทอม 30–90 วัน) ให้เป็นเงินสดเร็ว ลดเงินจม ขยายการรับงานได้
ข้อจำกัด: มีค่าธรรมเนียมตามใบแจ้งหนี้, ต้องมีหลักฐานการค้า–PO–สัญญาชัดเจน
เหมาะกับ: B2B ที่มีเครดิตเทอมยาว, งานราชการ/เอกชนที่ต้องรอรับเช็ค, ซัพพลายเออร์รายใหญ่
[Expert Opinion]
ถ้าคุณมี “ใบแจ้งหนี้ดี ๆ” แฟคตอริงคือแหล่งทุนที่ “ผูกกับยอดจริง” ไม่กด DSR เท่ากู้เงินสด และช่วยให้รับงานเพิ่มได้โดยไม่รอเครดิตเทอมจนขาดคล่อง
เช่าซื้อ/ลิสซิ่ง (Asset Finance)
จุดเด่น: ใช้สินทรัพย์ที่ซื้อเป็นหลักประกันเอง ผ่อนเป็นงวด ดอกดีกว่าเงินสดไม่มีหลักทรัพย์
ข้อจำกัด: ใช้ได้เฉพาะการลงทุนสินทรัพย์ (เครื่องจักร, รถ, อุปกรณ์)
เหมาะกับ: การลงทุนที่สร้างรายได้/ลดต้นทุนชัดเจน
[Expert Opinion]
ผมชอบใช้ลิสซิ่งกับ “สินทรัพย์สร้างรายได้” เพราะค่างวดสัมพันธ์กับเงินที่สินทรัพย์นั้นสร้างได้ ทำให้ DSR ดูสมเหตุผลกว่าใช้เงินก้อนสั้น ๆ ไปซื้อของยาว ๆ
นักบัญชีซื้อเชื่อ/เครดิตเทอมจากซัพพลายเออร์ (Trade Credit)
จุดเด่น: ฟรีดอกเบี้ยภายในเครดิตเทอม, ง่ายถ้ามีประวัติซื้อขายยาวนาน
ข้อจำกัด: วงเงินตามความสัมพันธ์การค้า, กลายเป็นดอกเบี้ยแฝงถ้าจ่ายช้า
เหมาะกับ: ธุรกิจที่ซื้อซ้ำบ่อย และมีรอบรับเงินที่แมตช์กับเครดิตเทอม
[Expert Opinion]
เครดิตเทอมที่บริหารดีคือ “เงินทุนราคาถูกที่สุด” แต่ต้องมีวินัยการจ่าย อย่าให้เป็นหนี้การค้าค้างจนเครดิตเสีย
นักลงทุนเอกชน / Angel / Venture Capital
จุดเด่น: เงินก้อนใหญ่ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
ข้อจำกัด: แลกกับหุ้น/อำนาจตัดสินใจ, ต้องเติบโตเร็วตามแผน
เหมาะกับ: ธุรกิจนวัตกรรม/สตาร์ทอัพที่สเกลได้ไว
[Expert Opinion]
ถ้าคุณต้องการ “เติบโตแบบก้าวกระโดด” และยอมแชร์หุ้น การมีพาร์ตเนอร์เป็น VC/Angel ช่วยเรื่องเครือข่ายและความน่าเชื่อถือ แต่อย่าลืมว่าคุณไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวอีกต่อไป
ตารางย่อ (สรุปเลือกเร็ว)
• ต้องการวงเงินสูง + ดอกดี + ทำเอกสารได้ → ธนาคารพาณิชย์ / โครงการรัฐ
• ต้องการเร็ว + เอกสารน้อย + เงินหมุนสั้น → Fintech/Non-Bank
• มีใบแจ้งหนี้ลูกค้ารายใหญ่ → แฟคตอริง
• ลงทุนสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ → ลิสซิ่ง/เช่าซื้อ
• มีซัพพลายเออร์สัมพันธ์ดี → เครดิตเทอม
• ต้องการเงินก้อนใหญ่ ไม่อยากก่อหนี้ → นักลงทุนเอกชน/VC
เช็กลิสต์ตัดสินใจ (แบบเร็ว)
วัตถุประสงค์เงิน: หมุนสั้น / ลงทุนยาว / ขยายงาน
เวลา: ต้องการเร็วแค่ไหน
วงเงิน: มาก–น้อยเพียงใด
หลักฐาน: เอกสาร/สเตทเมนต์/สัญญาค้าชัดแค่ไหน
หลักทรัพย์: มีหรือไม่
ผลต่อ DSR: ภาระผ่อนจะดัน DSR เกินกรอบไหม (อ่าน: https://www.easycashflows.com/blog/dsr-sme-finance)
ต้นทุนรวม: อย่ามองแค่ดอกเบี้ย ให้ดูค่าธรรมเนียมทั้งหมดและผลต่อกระแสเงินสด
กรณีใช้หลายแหล่งผสม (Hybrid Funding)
ตัวอย่างที่ใช้จริงและได้ผล
• วงเงินหลักจากธนาคาร + เสริมด้วย Fintech สำหรับรอบโปรโมชัน/สต็อกสูงฤดูกาล
• ลงทุนเครื่องจักรด้วยลิสซิ่ง + ใช้แฟคตอริงเร่งเงินจากลูกหนี้การค้า
• เริ่มต้นด้วยโครงการรัฐ/บสย. → โตได้สักระยะค่อยรีไฟแนนซ์สู่เงื่อนไขดีกว่า
[Expert Opinion]
อย่ากลัวการ “ผสม” แต่ต้องดูภาพรวม DSR และภาระรวมต่อเดือนเสมอ พร้อมแผน Exit เช่น เงื่อนไขเมื่อไรควรรีไฟแนนซ์
ข้อควรระวัง (ที่ผมเห็นพลาดบ่อย)
• ดู “ดอกเบี้ย” อย่างเดียว ไม่ดูค่าธรรมเนียมและเบี้ยปรับ → ต้นทุนจริงสูงกว่าคิด
• ใช้เงินสั้นแก้เรื่องยาว จนกระทบ DSR และหมุนเงินไม่พอ
• ไม่แยกบัญชีธุรกิจ–ส่วนตัว → เอกสารไม่สะท้อนรายได้จริง
• เซ็นสัญญาโดยไม่อ่านเงื่อนไขย่อย (เช่น ค่าธรรมเนียมก่อนปิดบัญชี)
• ไม่ทำแผนใช้เงินและตัวชี้วัด (ROI/Payback/เป้ารายได้)
สรุป (เลือกให้คุ้มและผ่านง่าย)
ไม่มีแหล่งเงินทุน “ดีที่สุดสำหรับทุกคน” มีแต่ “เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ” ถ้าเป้าหมายคือให้ “คุ้มและผ่านง่าย” ให้เริ่มจาก 3 เรื่องนี้:
เอกสารโปร่งใส เดินบัญชีธุรกิจสม่ำเสมอ
คุม DSR ให้อยู่ในกรอบ (และวางแผนรีไฟแนนซ์ถ้าจำเป็น)
จับคู่ระยะเวลาเงินกับเรื่องที่ทำ (สั้นแก้สั้น ยาวทำยาว)
เริ่มจากสิ่งที่ “ควบคุมได้ทันที” คือเอกสารและการเดินบัญชี หากสองอย่างนี้ดี ช่องทางเงินทุนแทบทุกแบบ “เปิดประตู” ให้คุณได้ ที่เหลือคือเลือกให้เข้ากับเป้าหมายและจังหวะธุรกิจของคุณ