เรียนรู้ความสำคัญของ DSCR และ DSR ในการขอสินเชื่อธุรกิจ SME แม้ยอดขายสูง แต่หากตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่ผ่าน โอกาสได้สินเชื่ออาจน้อยลง
เจ้าของกิจการจำนวนมากมักเชื่อว่า "ยอดขายสูง = ธุรกิจแข็งแรง = กู้ผ่านแน่นอน" แต่ในโลกความเป็นจริง ธนาคารไม่ได้มองแค่ยอดขายหรือกำไรในงบการเงินเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความสามารถในการชำระหนี้จริงของธุรกิจ
ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือสินเชื่อ SME วงเงินสูง ธนาคารจะใช้ตัวชี้วัดหลัก 2 ตัวในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้:
DSCR (Debt Service Coverage Ratio) - อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้
DSR (Debt Service Ratio) - อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้
หากตัวชี้วัดทั้งสองนี้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด แม้ธุรกิจของคุณจะมียอดขายสูง ธนาคารก็อาจปฏิเสธการให้สินเชื่อได้
DSCR หรือ Debt Service Coverage Ratio คือ อัตราส่วนที่แสดงความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ โดยคำนวณจาก:
DSCR = เงินสดคงเหลือ ÷ ค่างวดรวมต่อเดือน
โดยทั่วไป ธนาคารจะใช้เกณฑ์มาตรฐาน DSCR ≥ 1.2 ซึ่งหมายความว่า หลังจากที่คุณจ่ายหนี้แล้ว ธุรกิจควรมีเงินสดเหลืออย่างน้อย 20% เพื่อเป็น "เฮดรูม" หรือเงินสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ยอดขายตกลง หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกะทันหัน
หาก DSCR ต่ำกว่า 1 หมายความว่าธุรกิจแทบไม่มีเงินเหลือหลังจากจ่ายหนี้ และจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงทันที ซึ่งส่งผลให้โอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ SME ลดลงอย่างมาก
กำไรสุทธิต่อเดือน: 200,000 บาท
ค่าเสื่อมราคา: 50,000 บาท
เงินสดคงเหลือ: 250,000 บาท
ค่างวดรวมต่อเดือน: 180,000 บาท
DSCR = 250,000 ÷ 180,000 = 1.39
ในกรณีนี้ DSCR เท่ากับ 1.39 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 1.2 ที่ธนาคารกำหนด แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดี
DSR หรือ Debt Service Ratio คือ อัตราส่วนที่แสดงภาระหนี้ต่อรายได้ของธุรกิจ โดยคำนวณจาก:
DSR = ภาระผ่อนชำระต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือนของธุรกิจ
DSR เป็นดัชนีที่ธนาคารใช้ดู "ภาระหนี้รวม" ของธุรกิจว่าหนักเกินไปหรือไม่ โดยทั่วไปธนาคารมักกำหนดกรอบที่ DSR รวมไม่ควรเกิน 40–50% ของรายได้ต่อเดือน
รายได้เฉลี่ยต่อเดือน: 500,000 บาท
ค่างวดเดิม: 120,000 บาท → DSR เดิม = 24%
หากกู้ใหม่เพิ่มค่างวด 80,000 บาท → ภาระรวม = 200,000 บาท
DSR รวมใหม่ = 200,000 ÷ 500,000 = 40%
ในกรณีนี้ DSR รวมใหม่อยู่ที่ 40% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่หากสูงกว่า 50% ธนาคารจะมองว่าธุรกิจมีความเสี่ยงสูงมากในการผิดนัดชำระหนี้
แม้ว่าธุรกิจจะมียอดขายสูง แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ธุรกิจเปราะบางและส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ SME:
ยอดขายอาจเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายแฝงก็สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้กำไรสุทธิน้อยลง ส่งผลให้เงินสดคงเหลือสำหรับการชำระหนี้ลดลง
บางธุรกิจมียอดขายดี แต่ให้เครดิตลูกค้านาน 60–90 วัน ทำให้เงินสดไม่พอจ่ายค่างวด เกิดปัญหาสภาพคล่องแม้ว่าในงบการเงินจะแสดงกำไร
การหมุนเวียนใช้วงเงิน OD (Overdraft) จากหลายธนาคาร หรือกู้สินเชื่อระยะสั้นซ้ำๆ ทำให้ธนาคารมองว่าธุรกิจมี "สภาพคล่องเปราะบาง" และอาจมีปัญหาในการชำระหนี้ในอนาคต
การรีบเปิดสาขาใหม่ หรือซื้อเครื่องจักรเพิ่ม โดยไม่วิเคราะห์ DSCR และ DSR ให้ดีก่อน อาจทำให้ภาระหนี้พุ่งสูงจนธุรกิจจ่ายไม่ไหว
การจัดทำประมาณการกระแสเงินสดล่วงหน้า 1-2 ปี จะช่วยให้คุณสามารถแสดงให้ธนาคารเห็นว่า หลังจากได้รับสินเชื่อแล้ว DSCR ของธุรกิจยังคงอยู่ในระดับที่ดี (≥ 1.2) ซึ่งจะเพิ่มความมั่นใจให้กับธนาคารในการอนุมัติสินเชื่อ
การยืดอายุการผ่อนชำระหรือรีไฟแนนซ์หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง จะช่วยลดค่างวดรวมต่อเดือน ส่งผลให้ทั้ง DSCR และ DSR ดีขึ้น เช่น การรีไฟแนนซ์หนี้จากอัตราดอกเบี้ย 15% เป็น 7% หรือการยืดระยะเวลาผ่อนจาก 3 ปี เป็น 5 ปี
การปิดวงเงิน OD หรือสินเชื่อระยะสั้นที่ไม่ได้ใช้ จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยและทำให้ DSR ต่ำลง นอกจากนี้ยังช่วยให้ธนาคารมองว่าธุรกิจมีการบริหารจัดการหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ
การรับเงินผ่านบัญชีธุรกิจและระบบ POS (Point of Sale) อย่างชัดเจน จะช่วยสร้างหลักฐานรายได้จริงของธุรกิจ ทำให้ธนาคารเห็นถึงความสามารถในการสร้างรายได้ที่แท้จริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพิจารณาสินเชื่อ
ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อธุรกิจมองความแตกต่างระหว่าง DSCR และ DSR ดังนี้:
DSCR มองจาก "เงินสดคงเหลือ" เพื่อประเมินว่าธุรกิจมีเฮดรูมหรือเงินสำรองเพียงพอหรือไม่
DSR มองจาก "ภาระหนี้รวม" เพื่อประเมินว่าธุรกิจรับภาระการผ่อนชำระได้หรือไม่
ธนาคารจะใช้ทั้งสองตัวชี้วัดนี้ควบคู่กันเสมอในการพิจารณาสินเชื่อ หากตัวชี้วัดใดตัวชี้วัดหนึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ โอกาสที่ธุรกิจจะถูกปฏิเสธสินเชื่อก็มีสูง แม้ว่าอีกตัวชี้วัดหนึ่งจะดีก็ตาม
ในปี 2568 การเข้าถึงสินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ หรือแม้แต่สินเชื่อ SME วงเงินสูง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ที่พิสูจน์ได้จริงผ่านตัวชี้วัดสำคัญอย่าง DSCR และ DSR
เจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญกับประเด็นต่อไปนี้:
อย่ามองแค่รายได้ แต่ต้องพิจารณาด้วยว่า "ธุรกิจจ่ายหนี้ไหวจริงหรือไม่"
ธุรกิจที่มีระบบบัญชีโปร่งใสและมีเฮดรูมหรือเงินสำรองเพียงพอ ย่อมได้เปรียบในการขอสินเชื่อ
การใช้กลยุทธ์ปรับโครงสร้างหนี้และบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยทำให้ตัวเลข DSCR และ DSR ดูดีขึ้นในสายตาธนาคาร
การเตรียมความพร้อมและเข้าใจหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของธนาคารอย่างถ่องแท้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณได้รับการอนุมัติสินเชื่อ SME ที่ต้องการ แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายในปัจจุบัน
หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับการขอสินเชื่อธุรกิจ SME หรือต้องการปรึกษาเรื่องการปรับปรุง DSCR และ DSR ของธุรกิจ เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเพื่อข้อมูลและบริการที่ครบถ้วน
#สินเชื่อธุรกิจSME #สินเชื่อSMEไม่มีหลักทรัพย์ #สินเชื่อSMEวงเงินสูง #DSCR #DSR #การเงินธุรกิจ #SME2568